เหตุผลหลักที่นักเศรษฐศาสตร์ลงรายชื่อเพื่อคัดค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทมีดังนี้:
- เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว: ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นด้วยการแจกเงิน เนื่องจากโดยภาพรวมกำลังขยายตัว ไม่ได้กำลังติดลบเหมือนสมัยโควิด
- ควรเน้นการลงทุนระยะยาว: ควรนำงบประมาณไปใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล จะเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในระยะยาว
- งบประมาณจำกัด: เงินงบประมาณมีจำนวนจำกัด ควรใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ
- ผลกระทบจากการแจกเงินน้อย: การแจกเงิน 560,000 ล้านบาท อาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก เนื่องจากตัวทวีคูณทางการคลังต่ำ หมายความว่าเงินที่แจกไปจะไม่หมุนเวียนในระบบมากนัก
- ภาระหนี้สาธารณะ: การแจกเงินจำนวนมากจะเพิ่มภาระหนี้สาธารณะ และอาจทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นในอนาคต
- ขาดพื้นที่ว่างทางการคลัง: ควรมีเงินสำรองไว้เผื่อรับมือกับวิกฤตในอนาคต และรองรับสังคมสูงวัย
- เทคโนโลยี blockchain ไม่เหมาะสม: เทคโนโลยี blockchain ยังไม่เหมาะสมกับการนำมาใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงินในปัจจุบัน เนื่องจากมีความเร็วในการประมวลผลที่ช้า
ขณะนี้แถลงการณ์ดังกล่าวมีอายุเกือบจะครบ 1 ปีแล้ว หมายความว่า ประเทศไทยเสียเวลาไปกับความพยายามทำนโยบายที่ไม่สมเหตุผลในทางเศรษฐศาสตร์ เป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสของประเทศที่ผู้บริหารระดับสูงสุด และ หน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง สามารถใช้เวลาและทรัพยากรมนุษย์ไปทำงานอันสามารถเป็นประโยชน์กับประเทศในระยะยาว
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ระหว่างวันที่ 3-5 กันยายน 2567 มีการอภิปรายโครงการนี้ ซึ่งทุกท่านน่าจะเห็นตรงกันว่า จนป่านนี้แล้ว เราแล้วยังไม่เห็นรูปธรรมชัดเจนว่า จะทำอย่างไรกันแน่สำหรับทั้งโครงการ
นอกจากนี้ มีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องยืนยันว่า หากมีการเปลี่ยนชื่อโครงการก็สามารถใช้งบประมาณได้ เนื่องจากยังอยู่ในวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจ และระบุมีโอกาสจะดำเนินการแจกให้ “กลุ่มเปราะบาง” ภายในเดือนกันยายนนี้
อย่างไรก็ตาม ตามหลักวิชาการเรื่องความคุ้มครองทางสังคมของวิชาเศรษฐศาสตร์สาธารณะ เป็นที่ทราบกันดีว่า ความพยายามที่จะให้สวัสดิการกำหนดเป้าหมายคนจน (poverty targeting) จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแน่นอน ทั้งคนจนไม่ได้รับสิทธิ์ หรือ คนรวยได้รับสิทธิ์ อีกทั้ง ต้นทุนสูงและอาจจะไม่คุ้มกับความพยายามทำ poverty targeting
ดังนั้น จึงขอเสนอให้พิจารณาว่า เพื่อให้ดำเนินการได้รวดเร็วและโปร่งใส ให้แจกเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กอายุ 0-5 ขวบ และผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนรวมกัน 8.5 ล้านคน จะใช้งบประมาณ 85,000 ล้านบาท โดยครัวเรือนร่ำรวยก็ให้สามารถมีสิทธิ์ได้ประโยชน์จากสวัสดิการถ้วนหน้าสำหรับกลุ่มอายุนี้ด้วย เพราะได้เป็นกำลังสำคัญร่วมจ่ายภาษี
งบปี 2568 ที่เตรียมไว้รองรับโครงการ 187,700 ล้านบาท ก็จะเหลือเงินประมาณ 100,000 ล้านบาท เอามาลงทุนพัฒนาทักษะแรงงาน ยกระดับ SMEs และ ใช้ลงทุนวิจัยพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ น่าจะเป็นประโยชน์ในระยาวมากกว่า เหมือนเอาเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดไปซื้อเบ็ดมาแจกให้หาปลาต่อไป แทนที่ไปซื้อปลามาแจกให้บริโภคครั้งเดียว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)