Skip to main content
sharethis

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับ 37 องค์กรผู้บริโภคและผู้บริโภคทั่วประเทศฟ้องคณะกรรมการแข่งขันทางการค้ากับศาลปกครองกรณีมติอนุญาตให้ควบรวมกิจการ CP-Tesco อาจขัดกฎหมาย ขอให้เพิกถอนมติ กำหนดเงื่อนไขเชิงโครงสร้างเพื่อป้องกันการผูกขาดตลาดสินค้าอุปโภค บริโภค ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่

15 มี.ค.2564 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า วันนี้ (15 มี.ค.64) เวลา 10.00 น. ณ ศาลปกครอง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ 37 องค์กรผู้บริโภคและผู้บริโภคทั่วประเทศ เป็นโจทก์ฟ้อง คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) และ สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า กรณีมีมติอนุญาตให้ควบรวมกิจการ CP-Tesco อาจขัดกฎหมาย

จากการที่คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เสียงข้างมาก 4 ต่อ 3 มีมติอนุญาตให้ควบรวมกิจการ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ทำให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภค สมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกลุ่มผู้ค้ารายย่อย เครือข่ายเกษตร นักวิชาการ 
และภาคส่วนต่าง ๆ ได้ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านการอนุญาตครั้งนี้ โดยเห็นว่าจะทำให้เครือบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ มีอำนาจเหนือตลาดอย่างสมบูรณ์ในกลุ่มธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก โดยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นสูงถึง 83.97%
อีกทั้งเครือบริษัทเจริญโภคภัณฑ์เป็นผู้ผลิตสินค้าอาหารสำคัญหลายประเภท ทั้งวัตถุดิบ สินค้าเกษตรและสินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันตั้งแต่ระดับต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งนำไปสู่การผูกขาดทางการค้า ทำให้กลไกการตลาดไม่เป็นอิสระ ส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งขัดต่อพ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ที่มุ่งเน้นการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจในตลาดสินค้าและบริการต่าง ๆ ให้มีการแข่งขันมากที่สุดภายใต้หลักเสรีและเป็นธรรม และขัดต่อสิทธิของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างอิสระตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522

ในโอกาสวันที่ 15 มีนาคมของทุกปีเป็นวันสิทธิผู้บริโภคสากลและทุกคนก็คือผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ 37 องค์กรผู้บริโภคและผู้บริโภคทั่วประเทศ จึงได้เป็นโจทก์ฟ้อง คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) และ สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ในประเด็นสำคัญ ดังนี้

1) มติการรวมธุรกิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
1.1) ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง กล่าวคือไม่ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไป จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญของกฎหมาย เนื่องจากการอนุญาตดังกล่าวมีผลกระทบต่อผู้บริโภค ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ในห่วงโซ่อุปทานตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นการทั่วไป ซึ่งกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
1.2) การกำหนดกรอบในการลงมติของคณะกรรมการเป็นการกำหนดกรอบที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยทั่วไปการลงมติ ต้องมีมติในประการแรกก่อน ว่าเห็นควรให้มีการควบรวมธุรกิจหรือไม่ หากมีมติให้รวมได้ คณะกรรมการจะต้องร่วมพิจารณาเงื่อนไขทางโครงสร้างและเงื่อนไขเชิงพฤติกรรม เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจรายใดมีอำนาจเหนือตลาด แต่การลงมติครั้งนี้กลับมีเงื่อนไขว่าคณะกรรมการที่ลงมติไม่เห็นชอบ จะไม่มีสิทธิกำหนดเงื่อนไขเชิงโครงสร้างและเงื่อนไขเชิงพฤติกรรม จึงเป็นการกำหนดเงื่อนไขการลงมติที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายและไม่ให้สิทธิกรรมการโดยเท่าเทียมกัน
1.3) ไม่เปิดเผยรายชื่อคณะอนุกรรมการที่พิจารณาคำขออนุญาต ซึ่งอนุกรรมการบางคนอาจเป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้ขออนุญาตหรือไม่
1.4) การใช้ดุลยพินิจที่ไม่เหมาะสมกับข้อเท็จจริง ไม่รอบคอบ และ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
1.4.1) ขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์และหลักการสำคัญที่มุ่งเน้นกำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้มีแข่งขันทางการค้ามากที่สุดภายใต้หลักเสรีและเป็นธรรม
1.4.2) ไม่มีความจำเป็นทางธุรกิจ หรือ เป็นการส่งเสริมการประกอบธุรกิจแต่อย่างใด ผู้ขออนุญาตรวมธุรกิจไม่ได้มีความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ ตรงกันข้ามกลับมีส่วนแบ่งในตลาดสูงถึงร้อยละ 69.3 ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดอยู่แล้วเพราะมีส่วนแบ่งเกินร้อยละ 50 ขึ้นไป และเมื่อควบรวมแล้วจะทำให้มีอำนาจเหนือตลาดเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 83.97 จึงถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจอย่างชัดเจน
1.4.3) จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เป็นการกินรวบ เพราะการรวมธุรกิจมีโอกาสทำให้เกิดการผูกขาดสินค้าที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะวิกฤตในสังคม เช่น น้ำท่วม หรือ โรคโควิด-19 ที่อาจได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม หากราคาสินค้าถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจเหนือตลาด
1.4.4) ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยรวม เมื่อจำนวนผู้แข่งขันในตลาดลดลง ผู้บริโภคย่อมมีทางเลือกในการซื้อสินค้าน้อยลง โดยเฉพาะธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมีอย่างน้อย 5 จังหวัดที่เดิมผู้ขออนุญาตรวมธุรกิจมีส่วนแบ่งตลาดเกือบร้อยละ 100 อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้อาจเป็นช่องทางให้มีการกำหนดราคาสินค้าตามความต้องการของกลุ่มบริษัทผู้ขออนุญาตรวมธุรกิจ และหากในอนาคตมีการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ต้นทุนสูง ผู้บริโภคอาจตกเป็นผู้รับภาระต้องซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
1.4.5) ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตสินค้าและวัตถุดิบ การควบรวมทำให้ผู้ขออนุญาตรวมธุรกิจเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด ทำให้มีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตสินค้าหรือวัตถุดิบมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิตที่เป็น SMEs ผู้ผลิตสินค้าเกษตร สินค้าชุมชน ที่ไม่มีอำนาจต่อรอง มีโอกาสถูกเอารัดเอาเปรียบจากการกำหนดเงื่อนไขทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม หรือ อาจจำยอมต้องรับเงื่อนไขโดยไร้ข้อต่อรอง
1.4.6) ทำให้คู่แข่งทางธุรกิจรายเดิมหรือรายใหม่เข้าสู่ตลาดยากขึ้น จนต้องเลิกทำธุรกิจในที่สุด ส่งผลให้ผู้ขอรวมธุรกิจอาจเป็นผู้ประกอบธุรกิจเพียงรายเดียวในตลาด ทำให้ทางเลือกของผู้บริโภคน้อยลง และยังเป็นการทำลายธุรกิจคู่แข่งในกระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการในธุรกิจขนาดกลางและธุรกิจขนาดเล็กในตลาดค้าปลีกค้าส่ง
1.4.7) ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขเชิงโครงสร้าง ในขณะที่เงื่อนไขเชิงพฤติกรรมก็อาจบังคับได้ยากหรือไม่ได้เลย โดยเงื่อนไขแต่ละข้อขัดแย้งกันเองและมีกำหนดระยะเวลาที่สั้นเกินสมควร

2) เป็นมติที่ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ขัดกับ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ขัดต่อเจตนารมณ์ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 และขัดกับวัตถุประสงค์และพันธกิจของสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า มติดังกล่าวมีผลผูกพันให้มีการรวมธุรกิจของผู้ได้รับอนุญาต ซึ่งจะกลายเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมาย และ การบังคับใช้กฎหมายทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตสินค้าหรือวัตถุดิบที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงหรือประเภทเดียวกันในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งอาจยังเป็นเหตุให้ผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นอาศัยเป็นข้ออ้างเพื่อควบรวมธุรกิจ สู่การมีอำนาจเหนือตลาดเช่นเดียวกันได้

ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ศาลไต่สวนคำร้อง และ ขอให้ศาลมีคำสั่ง กำหนดมาตรการคุ้มครองหรือบรรเทาทุกข์ชั่วคราว โดยมีคำสั่งให้ระงับการรวมธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่ ของบริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ไว้ก่อนชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาดังนี้

1. ให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าที่อนุญาตให้มีการรวมธุรกิจในตลาดค้าส่ง ค้าปลีกระหว่างบริษัท ซีพีฯ กับ บริษัท เทศโก้ฯ
2. หากศาลไม่มีคำสั่งให้เพิกถอนมติดุงกล่าวตามข้อ 1 ขอให้ศาลกำหนดเงือนไขเชิงโครงสร้างเพื่อป้องกันการผูกขาดตลาดสินค้าอุปโภค บริโภค ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ คือ
2.1  ให้บริษัท ซีพีฯ กับบริษัท เทศโก้ฯ ขายกิจการหรือทรัพย์สินบางส่วนที่เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคออกไปเพื่อไม่ให้อำนาจเหนือตลาดอันเป็นการผูกกขาดได้
2.2  ห้ามบริษัท ซีพีฯ ขยายสาขาเพิ่มขึ้นภายในเวลา 10 ปี ภายหลังการร่วมธุรกิจแล้ว
2.3  ให้เพิ่มเงื่อนไขด้านระยะเวลาจากเดิมที่คณะกรรมการเสียงข้างมากกำหนดไว้โดยขยายเวลาจากเดิม 5 ปี เป็น 10 ปี และจากเดิม 2 ปี เป็น 5 ปี

ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน ขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองหรือบรรเทาทุกข์ชั่วคราวโดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ระงับการรวมธุรกิจค้าส่งค้าปีกสมัยใหม่ของบริษัท ซีพีฯ และ บริษัท เทศโก้ฯ ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพากษาถึงที่สุด
  

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net