Skip to main content
sharethis

เก็บตกอภิปราย ยุทธพงศ์ ‘เพื่อไทย’ ปอกเปลือก ‘พระรามประยุทธ์’ จัดฉากสร้างหนี้ 37 ล้าน หาเรื่องต่อสัมปทานสายสีเขียวให้ BTS ล่วงหน้า 37 ปี ผิด พ.ร.บ.ร่วมทุน เอื้อนายทุนผูกขาดค่าโดยสาร ประชาชนเดือดร้อน ค่าโดยสารแพงขึ้น เสนอปล่อยให้หมดอายุสัมปทานปี 2572 ดึงกิจการรถไฟฟ้าจาก BTS กลับมาให้รัฐบริหารค่าโดยสารเอง ด้านพรรคเศรษฐกิจใหม่ หลังมิ่งขวัญลาออก ประกาศเปลี่ยนขั้วร่วมรัฐบาล เหตุจุดยืนปกป้องสถาบัน

 

19 ก.พ. 65 นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ประจำวันที่ 18 ก.พ. 65 ในประเด็นความไม่ชอบมาพากลของการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ-ใต้) ให้บริษัทเครือ BTS ล่วงหน้า 37 ปี อ้างเพื่อใช้หนี้ 37 ล้านบาท 

BTS สายสีเขียวคืออะไร

ก่อนเข้าประเด็น ยุทธพงศ์ ชวนรู้จักรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่กำลังเป็นปัญหาว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นส่วนต่อขยายจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยสีเขียวเหนือ ตั้งแต่สถานีหมอชิต-คูคต และสีเขียวใต้ ตั้งแต่แบริ่ง-เคหะบางปู จ.สมุทรปราการ

หนี พ.ร.บ.ร่วมทุน

การทำสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับบริษัท BTS เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2535 เมื่อผู้ว่า  กทม. ขณะนั้น พลตรีจำลอง ศรีเมือง เปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว บริษัทธนายง ของเจ้าสัวชนะประมูล ได้สัมปทานเส้นหมอชิต-ตากสิน-อ่อนนุช (หรือเรียกว่า ‘เส้นไข่แดง’) 30 ปี (หรือเริ่มตั้งแต่ 2542-2572) โดยเอกชนลงทุน 100%

แต่ต่อมาในปี 2555 กทม. ในยุคของสุขุมพันธ์ บริพัทธ์ จ้างบริษัทกรุงเทพธนาคม (KT) วิ่งรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ 1 ตั้งแต่อ่อนนุช-แบร์ริ่ง และตากสิน-บางหว้า เป็นระยะเวลารวม 2555-2585 หรือ 30 ปี และเส้นทางหลักคือ หมอชิต-ตากสิน-อ่อนนุช ตั้งแต่ 2572-2585 โดยใช้กรณีพิเศษไม่ได้เป็นการประมูลตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

เมื่อปี 2559 ผู้ว่าสุขุมพันธ์ และรัฐบาล คสช. ว่าจ้างกรุงเทพธนาคม จ้างบริษัท BTS เพื่อซื้อระบบไฟฟ้าและวิ่งรถ ขยายจากปี 2572-2585 โดยไม่ผ่านการประมูล เนื่องจากสัญญาสัมปทานเส้นไข่แดง กำลังจะหมดลงในปี 2572 
 
นอกจากนี้ ยุทธพงศ์ หยิบยกสัญญาขึ้นมา โดยชี้ให้เห็นว่าข้อ 27.2 ของสัญญา ระบุว่าหาก กทม. จะขยายสายทาง ระหว่างอายุสัญญา BTS ให้ BTS มีสิทธิเป็นรายแรกที่จะเจรจากับ กทม. หาก BTS รับเงื่อนไขที่ดีที่สุดที่มีผู้เสนอต่อ กทม.ได้ BTS ก็เอาไป แต่ว่า กทม. กลับไม่ให้มีการเสนอราคา แต่จู่ๆ ก็ให้ KT ไปจ้าง BTS เลย โดยไม่มีการเปรียบเทียบราคากับผู้ประมูลรายอื่นๆ จงใจเอื้อประโยชน์ให้กับ BTS ชัดเจน

ปัจจุบัน คดีความของ สุขุมพันธ์ อยู่ในระหว่างสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และตอนนี้ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือพระรามประยุทธ์ กำลังจะแผลงศรอีกครั้งโดยใช้ ม.44 

ม.44 ล้างมลทิน

ประเด็นปัจจุบัน คือ พระรามประยุทธ์ จะต่ออายุสัมปทานให้กับบริษัท BTS ส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือ-ใต้ อีก 37 ปี ตั้งแต่ 2572-2602 แต่ยุทธพงศ์ กล่าวว่า การทำสัญญาครั้งที่เป็นการทำสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการเป็นทำโดยไม่มีมติคณะรัฐมนตรีรองรับ เนื่องจากส่วนต่อขยายเขียวเหนือ ยังเป็นของกระทรวงคมนาคมอยู่ เนื่องจากยังไม่ได้จ่ายหนี้ให้กระทรวงคมนาคม 6 หมื่นล้าน แต่กระทรวงมหาดไทยเอาอำนาจอะไรไปยกให้ BTS ระยะเวลา 37 ปี

ประการต่อมา ประยุทธ์ กำลังจะทำผิดซ้ำรอยกับ สุขุมพันธ์ โดยการต่อสัญญาสายสีเขียวให้ BTS โดยไม่ผ่าน พ.ร.บ.ร่วมทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเอาศร หรือ ม.44 ไปล้างผิดนิรโทษกรรมในอดีตในอดีต เมื่อครั้งสมัยรัฐบาลยังเป็น คสช. รวมถึงนอกจากนี้ รัฐบาลประยุทธ์ จะใช้อำนาจตาม ม.44 สั่งตั้งคณะกรรมการไปร่วมเจรจากับ BTS เพื่อหาข้อยุติ และขอให้ข้อยุตินั้นถือเป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน 

“จงใจนิรโทษกรรมความผิดเดิม สั่งให้แก้ไขสัญญาสัมปทานตามผลงานเจรจาที่ได้ข้อยุติ และถือว่าเป็นการแก้ไขสัญญาตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุน นิรโทษกรรมหมดเลย พ.ร.บ.ร่วมทุนทั้งหลายหลังการเจรจาถือว่าถูกต้องหมด และแทนที่จะแก้ไขสัญญาเดิมที่ผิดกฎหมายกลับใช้อำนาจพิเศษ ศรของท่านนี่ไง สั่งให้ กทม. ผิดกฎหมาย และพอร่วมทุนหนักกว่าเดิมอีก และบอกว่าท่านเคารพกฎหมาย เคารพยังไงตอบผมหน่อย” ส.ส.เพื่อไทย กล่าว 

ทั้งหมดเป็นที่มาให้ 7 สมาชิกพรรคภูมิใจไทยไม่เข้าร่วมประชุมเมื่อ 8 ก.พ. 65 เนื่องจากมองว่าการต่ออายุสัมปทานสายสีเขียวโดยไม่ผ่าน พ.ร.บ.ร่วมทุนนั้นผิดกฎหมาย 

ภาพจากไลฟ์สดเพจเฟซบุ๊กกลุ่มสาธารณะ พรรคเพื่อไทย

จัดฉาก สร้างหนี้ เอื้อนายทุน

ส.ส.มหาสารคาม จากเพื่อไทย เผยต่อว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดฉากสร้างหนี้ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างให้ต่อสัญญาสัมปทานสายสีเขียวให้กับบริษัท BTS โดยหนี้ก้อนแรก 20,000 ล้านบาท เกิดจาก กทม. จ้าง BTS ติดตั้งระบบรถไฟฟ้า และวิ่งรถ โดยไม่มีการเปิดประมูล

ขณะที่หนี้ก้อนสอง 17,000 ล้านบาท กทม. ปล่อยให้ประชาชนนั่งฟรี โดยไม่มีการเก็บค่าโดยสารมาตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน

ซึ่งทั้งหมดนำมาสู่การจัดฉากสร้างหนี้ 37,000 ล้านบาท เปิดทาง BTS เสนอขอแลกหนี้กับการขยายสัญญาสัมปทานล่วงหน้า 37 ปี จากเดิมสัญญาจะจบลงในปี 2575 ไปจบปี 2602 โดยประเมินมูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาท

“เหตุผลอะไรให้ประชาชนนั่งฟรี สายไหนในประเทศไทยบ้างให้ประชาชนนั่งฟรีมา 5 ปี มันทำให้เป็นหนี้ถึง หมื่นเจ็ดพันล้าน และวันนี้ท่านจะหาเหตุยกสัญญาสัมปทานให้เขา ผมขอบอกว่าเป็นการจัดฉากสร้างหนี้ ปล่อยให้เกิดหนี้ 3 หมื่น 7 พันล้าน เปิดทางให้ BTS ขยายสัญญาสัมปทานแลกหนี้ไปอีก 37 ปี” ยุทธพงศ์ กล่าว

นอกจากนี้ มีคำถามอีกว่า ทำไมประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องรีบต่อสัญญา ทั้งที่สัญญายังเหลืออีก เพราะตอนนี้ปี 2565 แต่สัญญาเส้นไข่แดง และส่วนต่อขยาย จะหมดลงในปี 2572 ซึ่งยุทธพงศ์ กล่าวว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะนายกฯ ประยุทธ์ ต้องการเอื้อประโยชน์ให้บริษัท BTS นั่นเอง 

จับประชาชนเป็นตัวประกัน

ส.ส.มหาสารคาม กล่าวต่อว่า เมื่อประยุทธ์ หลีกเลี่ยงการประมูลไม่ให้ผู้ประกอบการหลายๆ เจ้า นำเสนอราคาแข่งกัน กลายเป็นว่าทำให้ BTS ผูกขาดค่าโดยสาร แถมมาขู่ว่าถ้าไม่ขยายสัมปทาน ค่าโดยสารจะเพิ่มเป็น 158 บาท แต่ถ้าขยายให้เขา 37 ปี เขาจะคิด 65 บาท ซึ่งแพงมาก ถ้าเปรียบเทียบกับรถไฟฟ้าของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย สายสีม่วง และสีน้ำเงิน นั่งไกลแค่ไหนก็ไม่เกิน 42 บาท จับประชาชนเป็นตัวประกัน ถ้าไม่ขยายสัมปทาน ประชาชนจะต้องจ่ายค่าโดยสารแพง 

ปล่อยหมดสัญญาให้รัฐคุมราคา

ยุทธพงศ์ เสนอว่า ให้รัฐบาลรอจนถึง 2573 ให้หมดอายุสัมปทานของ BTS ไปก่อน เอากลับมาเป็นของรัฐ หรือเป็นของ รฟม. เพื่อสะดวกต่อการควบคุมราคาค่าโดยสาร ประชาชนไม่ต้องจ่ายค่ารถ BTS ในราคาสูง 

ต่อมา เมื่อถึง 2572 และให้คนที่ดำเนินการเป็น รฟม. แต่เพียงผู้เดียว ก็สามารถทำตั๋วใบเดียวไปได้ทุกสาย ไม่ต้องมีค่าแลกเข้า เขาเรียกว่า “common ticket” 

“หนี้ 37 ล้าน ทำไมประยุทธ์ต้องเดือดร้อน ต้องรีบต่อสัมปทาน 37 ปีให้เขา เขาทวงหนี้ท่าน ท่านหน้าบาง แล้วชาวบ้าน คนจน ราคาข้าวตกต่ำ พระรามประยุทธ์ คุณจะช่วยเขายังไง หมูตาย เอาเงินไปช่วยเขาดิ ประชาชนคุณไม่ช่วย ช่วยแต่เจ้าสัว …อย่างนี้ทำไมไม่เกรงใจประชาชน คุณเกรงใจเจ้าสัว ไม่เกรงใจประชาชน”

“ถ้าท่านกล้าทำผิดกฎหมาย ต่อสัมปทานให้ BTS ประกาศเลยครับ 22 พ.ค. 65 เปิดสภาครั้งที่ 1/2565 พบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญ ม.151 แล้วพระรามประยุทธ์ จะรู้ว่านรกมีจริง แน่จริงอย่ายุบสภาหนี และจะโชว์หลักฐานให้พระรามประยุทธ์ดูว่า 151 พร้อมแล้ว วันนี้ 152 เลยยังไม่ได้ลงรายละเอียดในสัญญาว่ามันผิดกฎหมาย และประยุทธ์กำลังจะพารัฐมนตรีติดคุกทั้ง ครม. และทำไมต้องไปทิ้งทวน ไม่รอผู้ว่า กทม.คนใหม่ ไปตัดสินใจแทนเขาทำไม ผมไม่สามารถไว้วางใจพระรามประยุทธ์ให้บริหารราชการแผ่นดิน” ยุทธพงศ์ ทิ้งท้าย

พรรคเศรษฐกิจใหม่เปลี่ยนเป็นขั้ว ร่วมรัฐบาล ย้ำจุดยืนปกป้องสถาบัน

สืบเนื่องจาก มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.กลางสภาเมื่อ 17 ก.พ. 65  พร้อมเปรยไปเตรียมสมัครเลือกตั้งครั้งใหม่

ภาพนายมิ่งขวัญ อำลาตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ จาก Voice TV Online

วานนี้ (18 ก.พ.) มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่รัฐสภา นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ แถลงต่อกรณีมิ่งขวัญ ลาเก้าอี้ ส.ส.กลางสภา ระบุว่า พรรคให้เกียรติสมาชิกพรรค และ ส.ส.ทุกคน การจะขับใครออกต้องมีความผิดชัดเจน แต่ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาขอร้องให้ขับตัวเองออก ก็จะทำได้ แต่จะต้องมีการกระทำความผิด ดังนั้น ทางพรรคฯ จึงไม่ได้ขับออก 

ขณะที่เหตุผลที่ตัดสินใจเปลี่ยนขั้ว เข้าร่วมพรรครัฐบาล เนื่องจากที่ผ่านมาก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ แต่พอดำเนินงานไปแล้วมีปัญหาเรื่องจุดยืนในการปกป้องสถาบัน จึงกลับมาพูดคุยกับสมาชิกพรรค ซึ่งจุดยืนของพรรคคือปกป้องสถาบัน ถ้าเราเพิกเฉยจะไม่ถูกต้อง กรรมการบริหารพรรคจึงมีมติมาร่วมรัฐบาลเพื่อปกป้องสถาบัน และอีกเหตุผลหนึ่งคือ การเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่สามารถเอานโยบายมาปฏิบัติจริงได้ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่เป็นนโยบายของพรรค เราจึงคิดว่าถ้ามาร่วมรัฐบาลก็จะสามารถผลักดันนโยบายต่างๆ ของพรรคมาสู่การปฏิบัติจริงเพื่อช่วยเหลือประชาชนได้ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เรื่องรถยนต์ดัดแปลง เขตเศรษฐกิจพิเศษ และผู้ลี้ภัยสงคราม

นายมนูญกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตอนนี้การทำงานของรัฐบาลจะมีปัญหามาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ การจัดเก็บภาษีลดลง รายได้ของประชาชนน้อยลง ผู้ประกอบการหลายรายปิดธุรกิจ ซึ่งตนได้ปรึกษากับนายกรัฐมนตรีว่า นโยบายเศรษฐกิจต้องได้รับการแก้ไข ต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่กระเตื้อง เราก็เยียวยาไม่ไหว จุดยืนของพรรคคือต้องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ด้วยข้อจำกัดในการเก็บรายได้ของภาครัฐที่ไม่สามารถจัดเก็บได้ เราก็พยายามผลักดันให้รัฐนำเงินที่มีอยู่มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราพยายามประคับประคองเสถียรภาพของรัฐบาล ตอนนี้ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องประสบปัญหาเรื่องการจัดเก็บภาษีเหมือนกันหมด เราจึงพยายามผลักดันให้รัฐบาลส่งเสริมธุรกิจใหม่ๆ และพืชเศรษฐกิจ

“เราเคารพและให้เกียรตินายมิ่งขวัญ จุดมุ่งหมายของท่านที่ต้องการประสบความสำเร็จทางการเมืองสูงสุด ด้วยศักยภาพของพรรคไม่สามารถนำพาท่านไปถึงจุดนั้นได้ เราพยายามสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่าพรรคมีจุดยืนด้านเศรษฐกิจและเราจะสานต่อนโยบายของท่านต่อไป ทั้งนี้ ผมไม่ขอเปิดเผยจุดมุ่งหมายทางการเมืองสูงสุดของนายมิ่งขวัญ ให้ไปถามเจ้าตัวเอง ยืนยันว่าพรรคไม่ได้มีการรับกล้วย แต่ต้องการแสดงจุดยืนให้ชัดเจนเรื่องการปกป้องสถาบันและอยากผลักดันเรื่องนโยบายเศรษฐกิจจึงมาร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ตอนเป็นฝ่ายค้านก็ทำงานเต็มที่ ส่วนเหตุผลที่บอกว่าตอนแรกจะไม่มาร่วมแต่สุดท้ายก็มาร่วมนั้น ปัญหาหลักคือเรื่องการปกป้องสถาบัน ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้” นายมนูญ กล่าว
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net