Skip to main content
sharethis

'กลุ่มรักษ์บ้านแหง' จัดงานฉลอง 12 ปี แห่งการสู้เหมือง เครือข่ายภาคประชาสังคมทั่วประเทศร่วมงานคึกคัก พร้อมจัดเวทีเสวนาถอดรหัสการต่อสู้ 12 ปีของกลุ่มฯ ยันสกัดเหมืองส่งตัวแทนยึดการเมืองระดับท้องถิ่น-ชาติ ด้าน 'กลุ่มรักษ์บ้านเกิด จ.เลย' ขอมีตัวแทนชาวบ้านร่วมฟื้นฟูเหมืองทอง มีบทเรียนปมคลิตี้หวั่นรัฐถลุงงบหลักพันล้าน 'กลุ่มอนุรักษ์ดงมะไฟ' เดินหน้าผลักดันยกเลิกประกาศแหล่งหิน ขณะที่ 'กลุ่มรักษ์วานร' จับตารัฐลักไก่ออกใบอาชญาบัตรเหมืองโปแตชใหม่ ส่วนชาว 'แม่ลาน้อย' ยืนยันค้านการเปิดเหมืองแร่ฟลูออไรต์ในพื้นที่ชี้กระทบชุมชน 'ชาวสะเอียบ' ลั่นหนุนพรรคการเมืองไม่เอาร่าง พ.ร.บ.องค์กรแสวงหากำไร-หยุดเขื่อนแก่งเสือเต้น 'ทนายความสิทธิฯ' แนะชาวบ้านใช้ข้อเท็จจริง-กม.สู้คดี เสนอให้มีกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิฯ ต้องไม่เป็นผู้ถูกฟ้องคดีปิดปาก

เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2565 ที่โรงเรียนบ้านแหงเหนือ ต.บ้านแหง อ.งาว จ.ลำปาง นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มรักษ์บ้านแหง จัดงาน 12 ปี แห่งการสู้เหมือง กลุ่มรักษ์บ้านแหง โดยมีตัวแทนจากเครือข่ายต่างๆ ทั่วประเทศเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก อาทิ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านจังหวัดเลย กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันไดจังหวัดหนองบัวลำภู กลุ่มทะลุฟ้า คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ (กป.อพช.ภาคเหนือ) กลุ่มรักษ์อำเภอวานรนิวาศจังหวัดสกลนคร กลุ่มราษฎรคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้นและยมบนยมล่าง และกลุ่มรักษ์ลุ่มน้ำแม่ลาหลวง จ.แม่ฮ่องสอน โดยช่วงเช้าเริ่มกิจกรรมด้วยพิธีสงฆ์ทำบุญตักบาตร พร้อมกับการจัดเสวนาในหัวข้อ “ถอดรหัส การต่อสู้กลุ่มรักษ์บ้านแหง 12 ปี แห่งชัยชนะ” 

รักษ์บ้านแหงยันสู้ต่อสกัดเหมือง ลั่นส่งตัวแทนยึดการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่น-ชาติ 

ทั้งนี้กมลเนตร เชียงโฉม ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มรักษ์บ้านแหง กล่าวในเวทีเสวนาว่า ประเด็นของบ้านเราที่ต่อสู้กันมาคือเรื่องเหมืองถ่านหินลิกไนต์ โดยมียุทธวิธีคือใช้วิธีตั้งด่านสกัดคนเข้าออกพื้นที่ และส่งตัวแทนของกลุ่มเข้าเป็นเป็นผู้นำชุมชนทั้งผู้ใหญ่บ้านและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ซึ่งเป็นของกลุ่มรักษ์บ้านแหงทั้งหมด ซึ่งในส่วนของตนกว่าจะเข้ามาเป็นผู้ใหญ่บ้านก็มีความยากลำบาก โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2557 และถูกดำเนินคดีมาแล้ว 2 คดี เงินเดือนไม่พอสู้คดีจนต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนยุติธรรมมาต่อสู้คดี ทั้งนี้ฝ่ายปกครองมองว่าเราทำผิดระเบียบไม่ใช่หน้าที่ ที่เราต้องออกไปต่อสู้ร่วมกับชาวบ้าน แต่เราก็ไม่ฟังยังไปร่วมกับพี่น้องอยู่หากไม่ติดธุระทางราชการ 

ทั้งนี้ประเด็นเหมืองแร่บ้านแหงเราต่อสู้กันมา 12 ปี เรายังยืนยันจะต่อสู้ต่อไป ถ้ามีบุคคลไม่หวังดีเข้ามาในพื้นที่ชาวบ้านก็พร้อมสกัดกั้น ที่สำคัญในเรื่องของการยึดครองตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภา อบต. ในส่วนที่หมดวาระลงในปี 2566 เราก็จะเดินหน้าต่อ รวมไปถึงตำแหน่ง ส.ส. ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคสามัญชน ที่เราจะยึดมาเป็นของกลุ่มรักษ์บ้านแหงต่อไปด้วย อีกทั้งในอนาคตเราจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรจากการใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ทั้งข้าวและกระเทียมซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชนเพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป

“กลุ่มต้านเหมืองทอง จ.เลย” ชี้ปิดเหมืองว่ายากแล้วแต่การฟื้นฟูยากกว่า ห่วงรัฐถลุงงบฟื้นฟูเป็นพันล้าน แต่ขาดการมีส่วนร่วมจากชาวบ้าน วอนเลือกพรรคการเมือง ปชต.มาแก้ปัญหา

ภรณ์ทิพย์ สยมชัย ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน จ. เลย กล่าวว่า ยุทธการการต่อสู้ที่ผ่านมา เราสู้แบบยิบตาเพราะพื้นที่ จ.เลย เราได้รับผลกระทบแล้ว เหมืองเปิดทำการมีการถลุงและแร่สกัดแร่โดยใช้สารไซยาไนด์ในการทำเหมือง เราต่อสู้จนชาวบ้านโดนฟ้องกว่า 30 คน รวมเรียกค่าเสียหายจากเอกชนกว่า 100 ล้านบาท พี่น้องชาวบ้านถูกฟ้องเพื่อปิดปาก ไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว แต่เราฮึกเหิมกันมาก ไม่กลัวคดีใด เพราะเรามีทีมทนายที่เก่งมาก ทั้งนี้เราต่อสู้จนเหมืองล้มละลายและปิดเหมืองได้ก่อนที่เหมืองจะถูกสั่งปิดจากภาครัฐ คดีสิ่งแวดล้อมเราก็ชนะ เป็นชัยชนะสูงสุดของพวกเรา ถึงจะปิดเหมืองและเหมืองล้มละลายไปแล้วเราก็ยังต่อสู้อยู่ ซึ่งปิดเหมืองนั้นว่ายากที่สุดแล้ว แต่การฟื้นฟูเหมืองยิ่งยากกว่า ซึ่งเราก็ยังเดินหน้าฟื้นฟูอยู่ 

ภรณ์ทิพย์ กล่าวต่อว่า วันนี้เราก็ยังสู้ต่อถึงแม้จะปิดเหมืองได้ ในรัฐบาลเผด็จการอาชญาบัตรพิเศษอาจจะออกมาเมื่อไรก็ได้ รัฐไม่สามารถยกเลิกเหมืองได้ ถ้านายทุนบอกว่าไม่ยกเลิกเหมืองก็ยังอยู่ เป็นสัญญาทาสที่ประเทศไทยเสียเปรียบมากที่สุด ที่ผ่านมาเราเคยเสนอขั้นตอนการฟื้นฟูเหมืองไป พร้อมกับขอให้มีตัวแทนเข้าไปร่วมในคณะกรรมการให้มีสัดส่วนที่สมดุล แต่เขาก็ไม่รับแผนนี้ ทั้งนี้ห่วงในเรื่องงบประมาณในการฟื้นฟูเหมืองทองซึ่งต้องใช้งบเป็นพันๆ ล้านบาท ยกตัวอย่างกรณีเหมืองคลิตี้ จ.กาญจนบุรี ที่ใช้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วม ดังนั้นถ้าในอนาคตต่อไปมีการเลือกตั้งใหม่ ถ้าเรามีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย เป็นเรื่องไม่ยากเลยในการฟื้นฟูให้ชาวบ้านได้สิ่งแวดล้อมที่ดีกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งชาวบ้านเริ่มฟื้นฟูแล้วโดยไม่รอภาครัฐ โดยการนำพืชพื้นถิ่น เช่น ผักบุ้ง ผักกูด ผักหนาม มาปลูกเพื่อดูดซับสารโลหะทั้งหลาย ซึ่งในส่วนของรัฐบาลยังเพิกเฉยอยู่ จึงฝากไว้ว่าปีหน้าถ้ามีการเลือกตั้งเราเลือกพรรคไหนก็ได้ที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ

“กลุ่มอนุรักษ์ฯ เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได” ลุยฟื้นฟูเหมืองดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พร้อมผลักดันยกเลิกประกาศแหล่งหินอุตสาหกรรม 

นางสุนีย์ อนุเวช ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน จากกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันได กล่าวว่าเริ่มคัดค้านเหมืองหินในพื้นที่ดงมะไฟ จ.หนองบัวลำภูมา 28 ปี ต่อสู้กันมาเรื่อยจนคนรุ่นพ่อแม่ล้มหายตายจากไปแล้ว สะบักสะบอมมามากเพราะก่อนนั้นไม่มีเครือข่ายอื่นมาให้ความรู้ ใช้แต่กำลังในการต่อสู้ จนมีนักวิชาการ และเครือข่ายต่างๆ เข้ามาช่วยต่อสู้ จนปิดเหมืองหินได้ ในวันที่ 12 ส.ค. 2563 ทุกวันนี้ก็ยังเฝ้าระวังอยู่ และใช้กลยุทธ์ปิดทางเข้าออกเหมือนกัน ปิดมา 2 ปีกว่าแล้ว และมีการยึดและทวงคืนพื้นที่เหมืองเพื่อมาทำป่าชุมชน มีการเข้าไปจัดการกับ อบต. เวลาที่เขาจะลงมติเราก็จะเข้าไปล้มเวที จนเขาต้องไปจัดการประชุมที่อื่น ทำให้การลงมติของเขาไม่ถูกระเบียบและต้องยกเลิกมตินั้นไป วันนี้สิ่งที่ชาวบ้านทำคือการเข้าไปพัฒนาพื้นที่ให้เป็นป่าชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และยังต้องเดินหน้าผลักดันยกเลิกประกาศแหล่งหินอุตสาหกรรมที่รัฐประกาศเอาไว้ต่อไป 
กลุ่มต้านเหมืองโปแตซรักษ์อำเภอวานรฯ จับตาลักไก่ออกใบอาชญาบัตรใหม่ พร้อมสู้กับเครือข่ายเหมืองแร่ทั่วประเทศ 

ขณะที่สุดตา คำน้อย ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มรักษ์ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร กล่าวว่าเราต่อสู้กันมาตั้งแต่ปี 2558 โดยต่อสู้กับทุนจีนที่ได้รับอาชญาบัตรพิเศษในการสำรวจแร่โดยรัฐบาลไทย เขาเข้ามาถูกกฎหมายก็จริง แต่ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วม ตั้งแต่กระบวนการแรก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแร่โปแตซคืออะไร และคุณจะมาทำอะไรในบ้านของเรา เรายื่นหนังสือตั้งแต่ระดับ อบต. อำเภอ จังหวัด เพื่อให้เปิดเผยข้อมูลกับชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้าน 9 ที่ต่อสู้ถูกดำเนินคดีบริษัทฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 3.6 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นฎีกา สิ่งที่เราต้องทำในขณะนี้คือการติดตามและคัดค้านการออกใบอาชญาบัตรใหม่ และไม่ใช่แค่อาชญาบัตรในพื้นที่ของเราท่านั้น แต่เราติดตามร่วมกับทุกเครือข่าย เราต่อสู้เพื่อบ้านเกิดและสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐต้องปกป้อง แต่กลายเป็นว่าเราไม่เคยใช้สิทธิชุมชนได้เต็มที่และรัฐกับนายทุนเป็นฝ่ายที่ทำร้ายเรา ถ้าปีนี้เขาได้ใบอาชญาบัตรพิเศษมาคิดว่าการต่อสู้จะดุเดือดมากกว่าคราวที่แล้ว บทเรียนในการปิดถนนต้องถูกนำกลับมาใช้อีกหรือไม่เป็นสิ่งที่ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป 

“ทำไมเราต้องยอมแลกและต่อสู้เพราะว่าถ้าเราปล่อยไป หากมีการให้อาชญาบัตรในการสำรวจ คิดว่าใบประทานบัตรต้องมาถึงเราแน่นอน ของเราได้รับอาชญาบัตรพร้อมกันกับด่านขุนทด จ.นครราชสีมา วันนี้เรายังมีความปลาบปลื้มที่วานรกนิวาสยังไม่มีการทำเหมือง แต่ด่านขุนทดเกิดขึ้นและมีผลกระทบแล้ว”สุดตากล่าว

“กลุ่มต้านเหมืองฟลูออไรต์” แม่ลาน้อย แม่ฮ่องสอน ขู่ปิดพื้นที่ห้ามเข้า ยืนยันในพื้นที่ต้องไม่มีเหมืองแร่

นายจวน สุจา นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มรักษ์ลุ่มน้ำแม่ลาหลวง จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า การเหมืองใน จ.แม่ฮ่องสอน เริ่มตั้งแต่ตนเป็นเด็ก 30 กว่าปีมาแล้ว โดยไม่เคยมีการทำประชาคม ภาครัฐประกาศให้สัมปทานเหมือนป่าไม้ ที่ผ่านมาเหมืองปิดไปแล้ว 20 กว่าปีเหมืองแร่ฟลูออไรต์ บริษัทเดิมสืบทอดกิจการจากพ่อ ซึ่งเป็นของชาวจีน เขารู้ว่าแร่ยังมีอยู่จำนวนมาก จึงเข้ามาอีกรอบหนึ่ง มาแบบพวกเราไม่รู้เรื่อง เราโดนปกปิดข้อมูลข่าวสาร เหมืองตัวนี้จะเริ่มยื่นขอประทานบัตร ซึ่งผู้ว่าฯ นายอำเภอ และป่าไม้บอกเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และเป็นลุ่มน้ำชั้นบี ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นลุ่มน้ำชั้นบี ตนได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งลงมาดูพื้นที่ด้วยตัวเองและ กมธ.พบว่าไม่ใช่ป่าเสื่อมโทรมแต่อย่างใด ซึ่งการทำเมืองจะกระทบกับการทำน้ำประปาและการเพาะปลูกของหมู่บ้าน หากมีสารตะกั่วปนเปื้อนลำน้ำแม่ลาน้อย ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของชุมชน นอกจากนี้พื้นที่ดังกล่าว ที่ผ่านมาเราได้ยื่นหนังสือในทุกระดับทั้ง อบต. อำเภอ ผู้ว่าฯ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำเนียบ และรัฐสภา ถ้ายังจะมีการทำเหมืองต่อเราจะต่อสู้ด้วยปฏิบัติการขั้นสูงสุดคือปิดพื้นที่ไม่ให้เข้า และจะมอบหมายให้ทนายฟ้องร้องในเรื่องการปกปิดรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และการทำประชาคมที่ไม่โปร่งใส รวมทั้งจะมีการยื่นถวายฎีกาต่อไปด้วย อย่างไรก็ตามสำหรับอุโมงค์เหมืองเดิมที่มี 10 อุโมงค์ เราเตรียมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป

“ชาวสะเอียบ” ซัดรัฐโกหกมาโดยตลอด 30 ยังหยุดเขื่อนแก่งเสือเต้นไม่สำเร็จ กาหัวไม่เอาพรรคการเมืองชูร่าง “พ.ร.บ.องค์กรไม่แสวงหากำไร-เดินหน้าเขื่อนแก่งเสือเต้นและยมบน-ยมล่าง” 

ด้านณัฐปคัลภ์ ศรีคำภา จากกลุ่มราษฎรคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้นและยมบนยมล่าง กล่าวว่าวันนี้เรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้น ยมบนยมล่างยังไม่จบ การต่อสู้กว่า 30 ปียังไม่สำเร็จ เพราะความสำเร็จคือสร้างไม่ได้ แต่วันนี้ยังมีการแนวคิดในการก่อสร้างอยู่ จากประสบการณ์ของชาวสะเอียบ รัฐไม่เคยจริงใจกับประชาชน แต่หลอกมาตลอด โดยเฉพาะในเรื่องการทำประชาคม สิ่งสำคัญที่สุดคือการขอให้รัฐบาลมีมติเพิกมติครม.ในเรื่องการก่อตั้งเขื่อนแก่งเสือเต้น ซึ่งรัฐบาลบอกว่าเลิกแล้ว แต่มตินี้ยังอยู่และอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย จึงเป็นเรื่องที่ชาวสะเอียบต้องต่อสู้กันต่อไป โดยมีการจัดเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเข้าพื้นที่ได้ ซึ่งหน่วยงานไหนเข้าสะเอียบโดยไม่แจ้งความประสงค์ เราไม่รับรองความปลอดภัย

“ตอนนี้มีศึกใหญ่เข้ามา 2 ทัพ ทั้งทิศเหนือและใต้ ศึกแรกคือร่าง พ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ…. ซึ่งเป็นอันตรายต่อพวกเราในการวมกลุ่ม ชาวสะเอียบกลัวที่สุดคือกฎหมายตัวนี้ พรรคไหนคิดขึ้นมาอย่าหวังจะได้ใจชาวสะเอียบ อีกศึกเป็นทัพใหญ่เป็นเรื่องของแก่งเสือเต้น ยมบน ยมล่างโดยตรง ท่านอย่าเอาแก่งเสือเต้นมาเป็นการหาเสียง วันที่ 7 พ.ค. 2566 ที่กกต.ได้กำหนดวันเลือกตั้งไว้เบื้องต้น ทุกพรรคที่ไม่เอาแก่งเสือเต้นได้ใจชาวสะเอียบแน่นอน” ณัฐปคัลต์กล่าว 

“ทนายความสิทธิฯ”ปลุกชาวบ้านลุกขึ้นปกป้องสิทธิชุมชน ใช้ข้อเท็จจริงยึดหลักกฎหมายสู้ แนะส่งเสียงร้ององค์กรอิสระตาม รธน.-องค์กระหว่างประเทศ เสนอมี กม.คุ้มครองนักปกป้องสิทธิฯ แนะพรรคการเมืองรับเป็นนโยบาย

ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่าเดิมชาวบ้านนักต่อสู้ในประเด็นสิทธิชุมชนเริ่มต้นจากการต้องสู้คดีเป็นผู้ที่ถูกรัฐและเอกชนฟ้อง ถูกแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งสิ่งที่เราใช้ในการต่อสู้คดีคือข้อเท็จจริงทำให้ชนะคดีเกือบทั้งหมดด้วยการที่ศาลยกฟ้อง ดังนั้นการสู้คดีข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญและปกป้องประโยชน์สาธารณะได้ อีกส่วนคือการที่เราใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ บริษัทลากไปสู้คดีแล้ว เราก็ใช้กฎหมายในการปกป้องสิทธิของเราบ้าง ซึ่งหลายคดีเราต่อสู้สำหรับเช่น กรณีบ้านแหงที่ร้องต่อศาลปกครอง จนหยุดใบประทานบัตรได้ แม้ยังยังมีการอุทธรณ์คดีอยู่ แต่ก็เป็นตัวอย่างในพื้นที่อื่นว่าทำให้โครงการชะลอได้จริง ซึ่งหน่วยงานรัฐก็ไปแก้เกมด้วยการแก้กฎหมายแร่ในเรื่องขั้นตอนการออกใบอนุญาตต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่เราต้องต่อสู้กับรัฐในเรื่องการแก้กฎหมายแร่ที่ภาคประชาชนต้องเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ตลอดจนหยุดแผนแม่บทแร่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันลงให้ได้ 

ส.รัตนมณี กล่าวต่อว่าอย่างไรก็ตามการต่อสู้ทั้งหมดต้องอาศัยแรงกายและใจจากพี่น้องประชาชน พวกเราทีมทนายที่เขามาช่วยนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ไม่สามารถอยู่กับพี่น้องได้ตลอดเวลา กระบวนการยุติธรรมไม่ใช่ที่สุดของกระบวนการต่อสู้ของพวกเรา ถึงที่สุดเราจะเห็นคำพิพากษาในหลายๆ คดีไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง ดังนั้นเราจะต้องทำงานควบคู่กันไป ในเรื่องการยื่นหนังสือต่างๆ ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ผู้ตรวจการแผ่นดิน องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตลอดจนองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อบอกเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เขามาละเมิดสิทธิเราได้ 

“เวลาพวกเราออกมาต่อสู้เราถือเป็นนักปกป้องสิทธิฯ แต่ยังไม่มีกฎหมายใดถูกตราขึ้นมามาปกป้องเราเลย จึงเห็นควรให้มีกฎหมายออกมาปกป้องคุ้มครองนักปกป้องสิทธิฯ ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ในการปกป้องทรัพยากรและประโยชน์สาธารณะ คนเหล่านี้ จะต้องไม่ถูกฟ้องและขอให้พรรคการเมืองรับเรื่องนี้ไปเป็นนโยบายด้วย” ส.รัตนมณี กล่าว

นอกจากกิจกรรมการจัดเวทีเสวนาแล้ว ในช่วงบ่ายผู้เข้าร่วมงานยังได้ร่วมกิจกรรมสานสัมพันธ์เครือข่ายและรำวงระดมทุนของกลุ่มฯ นอกจากนี้เมื่อวานที่ผ่านมาทางกลุ่มได้จัดเวทีเปิดประสบการณ์การต่อสู้ของของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มรักษ์บ้านแหง และยังได้จัดขบวนรถเทลเลอร์พาผู้เข้าร่วมงานจากหลากหลายเครือข่ายเข้าไปสำรวจพื้นที่ของชาวบ้านที่ถูกขอประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่ถ่านหินลิกต์ไนต์ พร้อมทั้งมีการจำลองสถานการณ์การรับมือกับบริษัทเอกชนหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่จะเข้ามาในพื้นที่อีกด้วย 

นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานยังได้ร่วมกันส่งกำลังใจให้กับเอกชัย อิสระทะ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เคลื่อนไหวปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังนอนรักษาตัวด้วยอาการป่วยที่โรงพยาบาลด้วย 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net