Skip to main content
sharethis

ก่อนตรุษจีนของทุกปี สีจิ้นผิงจะเดินทางไปใช้เวลากับสามัญชนอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง ปีนี้สื่อรัฐบาลจีนรายงานว่าผู้นำจีนยังคง "สืบสาน" ขนบที่เขาสร้างเองมาตลอด 10 ปี แต่ปรับเป็นการคุยกับประชาชนผ่านวิดีโอคอลแทน หลังประท้วงใหญ่บีบให้รัฐเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ตามมาด้วยการแพร่ระบาดจนน่ากังวลในช่วงเทศกาล

เมื่อ 19 ม.ค. 2566 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงพูดคุยและมอบคำอวยพรแก่ประชาชนจีนทุกหมู่เหล่า เนื่องในโอกาสปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ หรือเทศกาลตรุษจีน ที่ปีนี้เริ่มตั้งแต่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมา สื่อของรัฐบาลจีนรายงานว่านี่นับเป็นการสืบสานธรรมเนียมที่เขาถือปฏิบัติมาอย่างยาวนาน

"ผมห่วงเป็นพิเศษเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ระดับรากหญ้าและประชาชน ขณะที่เราฉลองปีใหม่" สีจิ้นผิงกล่าว หลังเสร็จจากการพูดคุยกับประชาชนตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศจีนเมื่อวันพุธที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ประชาชนจีนก็กำลังเดินทางกลับภูมิลำเนาและเที่ยวต่างประเทศในรอบ 3 ปี หลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการโควิด-19

ในการวิดีโอคอลหลายครั้ง สีจิ้นผิงได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในโรงพยาบาล พลเมืองสูงอายุในบ้านพักคนชรา คนงานในบ่อน้ำมันห่างไกล นักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟความเร็วสูง ผู้ค้าขายและลูกค้าในตลาดค้าส่ง และประชาชนในหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์

เขาระบุอีกว่าประเทศจีน "ตัดสินใจถูกต้อง" ในการควบคุมและป้องกันโรคระบาดอย่างเข้มงวดในช่วง​ 3 ปีแรก และระบุว่าการผ่อนคลายมาตรการโควิดในช่วงปีใหม่เป็นเพียง "อีกช่วงหนึ่ง" ของการรับมือกับไวรัสโควิด-19 ของจีนเท่านั้น เขาระบุอีกว่า "ความท้าทายใหญ่ยังรออยู่ แต่แสงสว่างอยู่ตรงหน้าเราแล้ว ความบากบั่นจะนำไปสู่ชัยชนะ"

แม้จะฟังดูเหมือนเป็นแบบแผนทั่วไปที่ประมุขของรัฐออกมาส่งสารอวยพรในช่วงเทศกาล แต่ในกรณีของสีจิ้นผิง การวิดีโอคอลกับประชาชนถือเป็นการปรับเปลี่ยนขนบธรรมเนียมที่เขาสร้างขึ้นเองมากว่า 10 ปี เพราะก่อนหน้านี้เขาเดินทางสัญจรไปพบปะและใช้เวลากับสามัญชนอย่างใกล้ชิด ในช่วงก่อนตรุษจีนมาตลอดโดยไม่เคยว่างเว้น

ตัวอย่างเช่น ในปี 2562 สีจิ้นผิงได้ร่วมทำเกี๊ยวกับสามัญชนในกรุงปักกิ่งและร่วมพูดคุยอย่างเป็นกันเอง รวมถึงเดินเข้าไปในร้านอาหารเพื่อพูดคุยกับเจ้าของและลูกค้า และชื่นชมพนักงานส่งของที่ปฏิบัติงานอย่างหนัก เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน

หลายต่อหลายปี สีจิ้นผิงเดินทางไปเยี่ยมสามัญชนในพื้นที่ห่างไกล เช่น การไปพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่แห้งแล้งในมณฑลกานซู่ในปี 2556 การท้าลมหนาวเพื่อพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกับคนงานที่เขตปกครองตนเองมองโกเลียส่วนในปี 2557 และการเยือนหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มณฑลเสฉวนในปี 2561

สีจิ้นผิงพบสามัญชน ก่อนตรุษจีนมาตลอด 10 ปี

พ.ศ. 2556 ไปกานซู่ พบชาวบ้านประสบปัญหาภัยแล้ง

พ.ศ. 2557 ไปมองโกเลียส่วนใน ท้าลมหนาวพูดคุยกับคนงานและเด็กพิการทางการได้ยิน

พ.ศ. 2558 ไปส่านซีพบมิตรสหายในฐานปฏิวัติเก่า เน้นย้ำความสำคัญของการขจัดความยากจน

พ.ศ. 2559 ไปเจียงซี พูดคุยกับหลานนักปฏิวัติ เน้นย้ำความสำคัญของการขจัดความยากจน

พ.ศ. 2560 ไปเหอเป่ย ช่วยครอบครัวหนึ่งวางแผนงบครัวเรือน เน้นย้ำความสำคัญของการขจัดความยากจน

พ.ศ. 2561 ไปมณฑลเสฉวน พบปะหมู่บ้านชาติพันธุ์ 2 แห่ง เน้นย้ำไม่ทิ้งชาติพันธุ์ใดไว้ข้างหลัง

พ.ศ. 2562 ไปปักกิ่งร่วมกับเกี๊ยวกับสามัญชน พูดคุยกับเจ้าของร้านอาหาร ลูกค้า และพนักงานส่งของ

พ.ศ. 2563 ไปยูนนาน ร่วมทุบข้าวเค้กข้าวกับชาวว้า ร่วมตีกลองพื้นเมืองอวยพรปีใหม่

พ.ศ. 2564 ไปกุ้ยโจว พูดคุยกับชาวม้ง หลังขจัดความยากจนด้วยการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์

พ.ศ. 2565 วิดีโอคอลกับสามัญชน ปรับขนบ 'พบประชาชน' ครั้งแรกในรอบ 10 ปี

แม้แต่ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อนหน้านี้ สีจิ้นผิงก็ยังสัญจรพบประชาชนช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน เช่น การไปปักกิ่ง (2562) ยูนนาน (2563) และกุ้ยโจว (2564) อย่างไรก็ตาม การประท้วงใหญ่เพื่อต่อต้านนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในช่วงปลายปีที่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นจุดเปลี่ยนของขนบธรรมเนียมที่เขาสร้างมา

ข้อกังวลต่อการระบาดช่วงตรุษจีน

การประท้วงใหญ่เพื่อต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ตามเมืองใหญ่หลายแห่งของจีน เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ นับเป็นการแสดงความไม่พอใจครั้งใหญ่ที่สุดต่อผู้นำจีน หลังสีจิ้นผิงขึ้นสู่อำนาจในปี 2555 ทำให้รัฐบาลประกาศยกเลิกมาตรการส่วนใหญ่ภายใต้นโยบายดังกล่าว และประชาชนในจีนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายกังวลว่าการปรับเปลี่ยนนโยบายอย่างฉับพลันอาจส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ประชาชนจีนกำลังเดินทางทั้งภายในและต่างประเทศในช่วงเทศกาล จนหลายประเทศต้องออกมาตรการขอผลตรวจโควิดของนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากจีนก่อน จึงจะเดินทางเข้าประเทศได้

ปักกิ่งกริ้ว หลายประเทศห้ามนักท่องเที่ยวจากจีนเข้าประเทศ

แม้ทางการจีนถูกมองว่าพยายามทำให้นิยามของการเสียชีวิตจากโควิดแคบลง จนเกิดความกังวลว่าตัวเลขอาจไม่สะท้อนความเป็นจริง แต่ในระลอกนี้ สื่อของรัฐบาลจีนที่ถูกคุมอย่างเข้มงวดยังออกมายอมรับว่าเลขผู้ติดเชื้อของจีนเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว หลังเกิดแพร่ระบาดสูงขึ้นในปักกิ่ง กวางโจว และเซี่ยงไฮ้ ทันทีหลังผ่อนคลายมาตรการ

งานศึกษาของมหาวิทยาลัยปักกิ่งพบว่าจนถึงวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา ผู้เคยติดเชื้อในจีนอาจมีสูงถึง 900 ล้านคน นับเป็น 64 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด ในบางพื้นที่พบตัวเลขสูงกว่าค่าเฉลี่ยมาก เช่น ที่มณฑลกานซู่ในภาคเหนือมีผู้เคยติดเชื้อแล้วกว่า 91 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มณฑลยูนนานในภาคใต้มียอดสูงถึง 81 เปอร์เซ็นต์

แอร์ฟินิตี้ บริษัทข้อมูลด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักรคาดการณ์ว่าในสัปดาห์ของเทศกาลตรุษจีน อาจมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 36,000 คนต่อวัน เนื่องจากการเดินทางในช่วงดังกล่าวอาจส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ซึ่งระบบสาธารณสุขยังขาดเครื่องไม้เครื่องมือในการรับมือกับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น

จากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน สำนักข่าวอัลจาซีราสัมภาษณ์พลเมืองชาวจีนหลายคน พบว่าแม้บางคนจะเดินทางกลับไปพบญาติของตนเองเพื่อฉลองตรุษจีนด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่หลายคนก็ยังคงตัดสินใจไม่เดินทางกลับภูมิลำเนา เนื่องจากกลัวว่าจะนำเชื้อไปติดบุคคลที่พวกเขารักและห่วงใย

 

แปลและเรียบเรียงจาก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net