Skip to main content
sharethis

โฆษกพันธมิตรเผยความเห็นของ 'สนธิ ลิ้มทองกุล' ที่ระบุว่าแกนนำ พธม. ยุติบทบาทนั้นถูกต้องแล้ว และความฮึกเหิมของทักษิณถึงขั้นทรยศคนเสื้อแดงได้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิด พลังใหม่ + ปชป. ออกมาเคลื่อนไหวอย่างเต็มศักยภาพ - สุวินัยชี้สนธิเดินหมากอนัตตา เป็นขั้นสูงสุดของวิชากลยุทธ์แบบเต๋า

โฆษก พธม. เผยความเห็นของสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อการชุมนุมต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

9 พ.ย. 2556 - เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของสนธิ ลิ้มทองกุล 66 ปี และวันก่อตั้งเครือผู้จัดการ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ใกล้ชิดของนายสนธิ ได้โพสต์บทความในเฟซบุ๊คเพจ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ขึ้นหัวข้อว่า "ครบรอบ 66 ปี สนธิ ลิ้มทองกุล "ถ้าเราไม่ยุติบทบาท คนจะไม่ออกมาชุมนุมมากขนาดนี้"!!! โดยมีรายละเอียดดังนี้

วันนี้คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวถึงการชุมนุมในช่วงเวลานี้กับพนักงานเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 66 ปี และวันคล้ายวันเกิดของค่าย ASTVผู้จัดการ โดยได้กล่าวถึงสถานการณ์ในการชุมนุมในช่วงเวลานี้ว่า

“ถ้าเรายังไม่ยุติบทบาท ประชาชนจะลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องนี้ทั่วประเทศอย่างนี้หรือไม่?”

คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ให้ลองพิจารณาเปรียบเทียบกับปี 2555 (30 พ.ค.-1 มิ.ย.) ที่ในเวลาตอนนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ (ฉบับ พล.อ.สนธิ บุญญรัตกลิน) ซึ่งเนื้อหาในเวลาตอนนั้นก็คือการนิรโทษกรรมล้างความผิดที่แทบจะไม่ต่างกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับปัจจุบันเลย แต่ในเวลานั้นแม้การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะได้รับชัยชนะด้วยการปิดล้อมสภาฯ จนไม่สามารถดำเนินการประชุมได้สำเร็จ แต่ผู้ชุมนุมก็มีจำกัดอยู่กับคนหน้าเดิมที่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแทบทั้งสิ้น

จากคำพูดของคุณสนธิ ผมอยากให้ย้อนกลับไปอ่านแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2556 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างละเอียดก็จะยิ่งเข้าใจว่าการยุติบทบาททางยุทธวิธีนั้นคืออะไร?

"การยุติบทบาทครั้งนี้ถือเป็นยุทธวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบัน หรือผู้ที่มีโอกาสจะมีอำนาจในอนาคต รวมถึง ทหารภายใต้จอมทัพไทย และศาลที่กระทำการภายใต้พระปรมาภิไธย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในบ้านเมือง รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้ตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของตนเองและเลือกเดินทางของตัวเอง มากกว่าที่จะคาดหวังหรือรอมติการนำมวลชนโดยแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"

ในเวลานั้นคนยังไม่เข้าใจว่าเรายุติบทบาททางยุทธวิธีคืออะไร แต่เรารู้ว่าถ้าเรื่องใหญ่ๆ แม้กระทั่งเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมยังต้องให้ผูกขาดการชุมนุมอยู่กับแกนนำพันธมิตรฯซึ่งมีมวลชนอยู่เพียงเท่านี้ นั่นย่อมแสดงว่าภาคประชาชนนิ่งเฉยเกินไปแล้ว

คุณสนธิ ได้วิเคราะห์ว่าที่ผ่านมาคนที่ไม่ออกมาเคลื่อนไหวเพราะ

1. นิ่งเฉยเพราะคิดว่ามีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ผูกขาดต่อสู้ได้รับชัยชนะประสบความสำเร็จมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นประชาชนส่วนใหญ่จึงคิดว่าธุระไม่ใช่ เพราะคิดว่ามีคนต่อสู้ให้แทนแล้ว อีกทั้งความสำเร็จในการเคลื่อนไหวมวลชนติดต่อเนื่องกันหลายปีมากเกินไป พลังการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯได้กลบการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มอื่นไปหมด จนคนกลุ่มอื่นๆ ก็ไม่อยากจะจัดการชุมนุม

2. นิ่งเฉยเพราะไม่ชอบพันธมิตรฯ หรือแกนนำพันธมิตรฯ เพราะเราอยู่ในบทบาทนี้นานเกินไป วิวัฒนาการหลายปีย่อมไม่ได้สะสมคนที่ชอบเราเป็นทองเนื้อแท้อย่างเดียว แต่คนที่ไม่ชอบพวกเราก็มีเพิ่มมากด้วยเช่นกัน (ทั้งการชุมนุมที่สนามบิน ตั้งพรรคการเมืองใหม่ การโหวตโน การประท้วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ฯลฯ ) และหลายคนก็ไม่อยากเคลื่อนไหวแล้วถูกตราหน้าว่าเป็นพวกเสื้อเหลือง (ขั้วสี) หรือเป็นพวกพันธมิตรฯ

ด้านหนึ่ง การยุติบทบาท จึงเหมือนเป็นการ “เร่งปฏิกิริยา” ให้เกิดขึ้น ฝ่ายทักษิณฮึกเหิมมากขึ้น เพราะคิดว่าไม่มีใครขวางได้ ความฮึกเหิมของทักษิณถึงขนาดยอมทรยศมวลชนคนเสื้อแดงจนหมดสิ้น

เมื่อการยุติบทบาทที่เร่งปฏิกิริยาให้ฝ่ายระบอบทักษิณให้แสดงความชั่วมากขึ้น กฎหมายปรองดองที่เว้นมาปีกว่า ก็ถูกแปรญัตติกลายร่างกายเป็นกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับลักหลับที่ทำลายความชอบธรรมของคำว่าเสียงข้างมากในสภาจนหมดสิ้น

ในอีกด้านหนึ่ง ก็เลยทำให้ประชาชนที่ส่วนหนึ่งต้องออกมาทำหน้าที่ เพราะคิดว่าไม่สามารถฝากความรับผิดชอบไว้กับแกนนำพันธมิตรฯที่ยุติบทบาทไปแล้ว ในขณะคนที่อยากเคลื่อนไหวแต่ไม่อยากอยู่ภายใต้ธงของพันธมิตรฯ ก็ออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม ทุกชนชั้น ทุกสาขาอาชีพ และทั่วประเทศ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งๆ ที่เป็นเนื้อหาเดียวกันกับที่พันธมิตรฯได้เคยออกมาต่อสู้เมื่อปีที่แล้ว

เราไม่ได้ยุติบทบาทเพื่อให้เกิดพลังใหม่ด้านเดียว แต่เราได้พยายามผลักดันคนที่มีศักยภาพและมีฐานคะแนนเสียงมากที่สุดคือพรรคประชาธิปัตย์ให้ออกมาด้วย และสิ่งที่เราคิดก็ได้รับผลสำเร็จ เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีศักยภาพในการนำที่โดดเด่นกว่าการชุมนุมของคนกลุ่มอื่นอย่างเห็นได้ชัด จนวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้อยู่บนคลื่นมหาชนที่อาจไปกว่าเพียงแค่การคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้ว และถ้าประชาธิปัตย์ทำได้ดีจนถึงขั้นนำไปสู่การปฏิรูปประเทศได้จริง พรรคประชาธิปัตย์ก็จะกลายเป็นพรรคการเมืองที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์และอยู่ในใจประชาชนอีกตราบนานเท่านาน

คุณสนธิ พูดกับผมว่าการยุติบทบาทคือการลดอัตตา เพื่อชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่า และขอให้เป็นชัยชนะกับประเทศชาติ ชัยชนะนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในมือเราเลยก็ได้

ผมนึกถึงประโยคสุดท้ายในแถลงการณ์ฉบับสุดท้ายของพันธมิตรฯฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2556 อีกครั้ง: “เราขอยืนยันว่าจะยังคงแน่วแน่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของวีรชนและพี่น้องประชาชนที่เสียสละไม่เคยเปลี่ยน และขอให้มั่นใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นยุทธวิธีที่จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน”

บทความของอดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุ

 

'สุวินัย ภรณวลัย' ชี้สนธิเดินหมากอนัตตา สุดยยอดกลยุทธ์เต๋า

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 8 พ.ย. สุวินัย ภรณวลัย รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ได้ โพสต์บทความ หลังจากไปแสดงความยินดีกับสนธิเนื่องในวันคล้ายวันเกิดด้วยว่า 

"เรื่องราวบางเรื่อง มันเหมือนได้ถูกฟ้าลิขิตเอาไว้แล้ว เมื่อนรกส่งทักษิณมาเกิด ฟ้าก็ส่งสนธิ ลิ้มมาเป็นดาวข่มทักษิณด้วยเช่นกัน... เมื่อวานผมไปถึงธรรมศาสตร์แต่เช้ามืดเพื่อเตรียมไปร่วมเดินขบวนกับชาวธรรมศาสตร์ ผมจึงถือโอกาสไปอวยพรวันเกิดคุณสนธิที่บ้านพระอาทิตย์ตั้งแต่เช้าตรู่โดยเอาหนังสือปกแข็ง"มูซาชิฉบับท่าพระจันทร์" ของผมไปให้เป็นของขวัญด้วย.."

"ผมขออวยพรให้พี่สนธิอยู่เป็นเสาหลักของบ้านเมืองไปอีกนานเท่านาน..สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ล้วนมีจุดเริ่มต้นจากการที่แกนนำพันธมิตรประกาศยุติบทบาททั้งสิ้น" "ผมดีใจมากที่อาจารย์สุวินัยอ่านหมากตานี้ของผมออก หมากพิฆาตที่ทำให้ทุกภาคส่วนขยับโดยผมไม่ต้องขยับ"

"....นี่คือหมากอนัตตาหรือหมากอกรรมของเต๋าซึ่งเป็นกลยุทธ์ขั้นสุดยอดของหลักวิชากลยุทธ์แล้ว คนที่จะเดินหมากแบบนี้ได้ นอกจากจะอ่านสถานการณ์ในภาพรวมขาดและอ่านหมากล่วงหน้าได้หลายๆ ชั้นแล้ว จะต้องเป็นผู้ที่มีตบะ ความอดกลั้นที่สูงยิ่งและต้องยอมเสียสละตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเดินหมากวิเศษแบบนี้ ผู้เดินนอกจากจะถูกเข้าใจผิดแล้ว ผู้เดินยังไม่ได้อะไรเพื่อตัวเองเลย...นี่คือราคาที่ผู้เดินหมากวิเศษนี้ต้องจ่ายเพื่อแลกกับชัยชนะของส่วนรวม...ข้างต้นนี้คือความเข้าใจที่นักกลยุทธ์คนหนึ่งมีต่อการวางกลยุทธ์ขั้นเทพของยอดนักกลยุทธ์ของภาคประชาชนที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่งของประเทศนี้...เรื่องราวของการเดินหมากวิเศษขั้นเทพนี้จะกลายเป็นตำนานของคนรุ่นหลังอย่างแน่นอน...คุณคำนูณ สิทธิสมานที่อยู่ที่นั่นด้วยได้กล่าวกับผมว่า"อาจารย์สุวินัย ในประเทศนี้มีทักษิณคนเดียวเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้ จากสถานการณ์ที่เกือบจะกินรวบประเทศได้หมดแล้ว เพราะความย่ามใจเพียงครั้งเดียวทำให้สถานการณ์พลิกกลับมาเป็นแบบนี้"...ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มาจากประสิทธิผลของหมากวิเศษขั้นเทพที่ชื่อว่าหมากอนัตตาหรือหมากอกรรมแบบเต๋านี้นั่นเอง

 

ที่มาของภาพประกอบหน้าแรก: วิกิพีเดีย/แฟ้มภาพ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net