วิเคราะห์ต้นตอของปัญหาการเหยียดเชื้อชาติคนเอเชียในสหรัฐอเมริกาผ่านงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “Hate Crime อาชญากรรมจากความเกลียดชังและการเหยียดคนเอเชียในสหรัฐอเมริกา” โดย ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์, ดวงยิหวา อุตรสินธุ์ และภาณุภัทร จิตเที่ยง พร้อมเปิดบทสัมภาษณ์ เอริค นัม นักร้องชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีที่เผชิญการเหยียดเชื้อชาติในบ้านเกิดของตน
2 เม.ย. 2564 สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาผ่านสื่อออนไลน์ ในหัวข้อ “Hate Crime อาชญากรรมจากความเกลียดชังและการเหยียดคนเอเชียในสหรัฐอเมริกา” โดย ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันศึกษาปริญญาเอก University of Southern California, ดวงยิหวา อุตรสินธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (วิทยาเขตกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และภาณุภัทร จิตเที่ยง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ร่วมเสวนา
ประสบการณ์การเผชิญหน้ากับอาชญากรรมจากความเกลียดชังของผู้เสวนา
ดวงยิหวา เผยประสบการณ์การตรงของการเป็นคนเชื้อสายเอเชียในสหรัฐฯ ช่วงทศวรรษที่ 1980s โดยเธอเกิดที่สหรัฐอเมริกาและอาศัยอยู่ที่เขตบรองซ์ นครนิวยอร์ก โรงเรียนมีเพียงชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย 2 คน คือ ตัวเธอเอง และเพื่อนชาวกัมพูชาที่อพยพหนีสงครามกลางเมืองเข้ามาอาศัยอยู่ที่สหรัฐฯ ซึ่งเธอถูกกลั่นแกล้งและเลือกปฏิบัติจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนอื่นๆ อยู่เป็นประจำ ส่วนพ่อของเธอซึ่งอาศัยอยู่ที่สหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษที่ 1970s ก็ประสบปัญหาถูกเหยียดเชื้อชาติเพราะเป็นคนเอเชียด้วยเช่นกัน โดยเธอบอกว่าการเหยียดคนเชื้อเสายเอเชียในยุคนั้นอาจเป็นผลมาจากช่วงหลังสงครามเวียดนามซึ่งชาวอเมริกันถูกส่งไปรบและเศรษฐกิจของประเทศเสียหายเนื่องจากสงคราม ทำให้ภาพลักษณ์ของคนเอเชีย โดยเฉพาะคนเอเชียตะวันออกดูไม่ดีในสายตาคนอเมริกัน
ดวงยิหวา บอกว่า หากพูดถึงคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย จะต้องนับรวมคนที่มีเชื้อสายเอเชียใต้ เช่น อินเดีย หรือปากีถาน เข้าไปด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วภาพจำที่คนอเมริกันนึกถึงเมื่อพูดถึงคนเชื้อสายเอเชีย คือ ชาวเอเชียตะวันออก ซึ่งหมายถึงจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมักถูกเหมารวมว่าเป็นคนจีนไปเสียหมด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่าคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียนั้น เป็นคำที่กว้างและมีความหลากหลายมาก
แม้จะเผชิญกับการเหยียดเชื้อชาติเพราะเป็นคนเอเชียอยู่บ่อยครั้ง แต่ดวงหยิวาบอกว่าการกระทำเหล่านั้นเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี โดยคำพูดที่เธอได้ยินบ่อยในช่วงนั้น คือ ‘กลับประเทศของคุณซะ (Go back to your country)’ แต่เธอก็โต้กลับว่า ‘ฉันเกิดที่นี่จะให้ฉันไปอยู่ที่ไหน’ นอกจากนี้ เธอยังเคยถูกเรียกด้วยคำไม่สุภาพหลายอย่าง เช่น Cheng ซึ่งเป็นสแลงที่ชาวอเมริกันใช้เรียกเพื่อเหยีดยเชื้อชาติคนจีน รวมถึงถูกเรียกว่าผู้อพยพ ซึ่งผู้พูดพูดโดยใช้อคติแบบเหมารวมเพราะเห็นเธอเป็นคนเอเชีย
ด้าน ปองขวัญ เล่าว่า เธอเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ ช่วง พ.ศ.2555 ซึ่งอยู่ในยุคที่บารัค โอบามา เป็นประธานาธิบดี และอาศัยอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซี ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการระดับประเทศและระหว่างประเทศ จึงไม่ค่อยมีประสบการณ์การถูกเหยียดเชื้อชาติ เพราะทุกคนที่นั่นค่อนข้างระวังมากเรื่องการพูดถึงสีผิวและเชื้อชาติในที่สาธารณะ แต่เมื่อเธอเดินทางมาศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่นครลอสแอนเจลิส กลับเจอการเหยียดเชื้อชาติมากกว่า ทั้งๆ ที่เมืองนี้มีคนเชื้อสายเอเชียอาศัยอยู่มาก โดยประสบการณ์ส่วนใหญ่ที่ปองขวัญเจอ คือ ความรุนแรงระดับเล็ก หรือ Microaggression ซึ่งเป็นการแสดงออกทั่วไปที่อาจทำให้ผู้อื่นรู้สึกเสื่อมเสียเพราะถูกเหมารวมว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น มีคนตะโกนใส่ปองขวัญขณะขึ้นรถโดยสารเพื่อไปมหาวิทยาลัยว่า ‘รถคันนี้ไม่ได้ไปเมืองจีนนะ’ หรือถูกเหมารวมว่าเป็นจีน นอกจากนี้ คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียมักถูกถามว่า ‘ทำไมภาษาอังกฤษดีจัง’ ซึ่งถือเป็น Microaggression ประเภทหนึ่งด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ ภาณุภัทร เล่าวว่า เขาไม่เจอการเหยียดเชื้อชาติในช่วงที่อาศัยอยู่ ณ กรุงวอชิงตันดีซี แต่พอย้ายมาอยู่ที่รัฐวิสคอนซินช่วงปี 2558-2562 ซึ่งเป็นช่วงที่ทรัมป์ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขายอมรับว่าเจอการเหยีดเชื้อชาติบ่อยขึ้น เช่น ลูกศิษย์ของเขาที่เป็นคนเวียดนามถูกเรียกเหมารวมว่าเป็นคนจีน หรือเวลาคุยกับเพื่อนในที่สาธารณะโดยใช้ภาษาไทย มักจะถูกมองว่าเขาและเพื่อนกำลังนินทาคนอื่น รวมถึงเคยถูกนักศึกษาทักท้วงเรื่องสำเนียงภาษาอังกฤษในระหว่างการเรียนการสอนอีกด้วย
ทำความเข้าใจพลวัตรของอาชญากรรมจากความเกลียดชัง (Hate crime)
ดวงหยิหวา กล่าวว่า ความรู้สึกของชาวอเมริกันที่มีต่อคนเอเชียเป็นกราฟคลื่นขึ้นลงตามช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ เช่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเย็น หรือโควิด-19 แต่หากย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 1850s ซึ่งเป็นยุคที่คนเอเชียอพยพเข้ามาทำงานและตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ จำนวนมาก โดยเฉพาะในบริเวณชายฝั่งตะวันของประเทศ เนื่องจากตรงกับยุคตื่นทอง ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยินดีต้อนรับผู้อพยพชาวเอเชีย เพราะต้องการแรงงานราคาถูก แต่ต่อมา ช่วงทศวรรษที่ 1880s เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตกต่ำ โดยเฉพาะในแถบตะวันตก คนอเมริกันจำนวนมากที่ตกงานจึงพยายามโยนความผิดให้คนเชื้อสายเอเชียว่าอพยพเข้ามาแย่งงาน และมีเหตุการณ์ความรุนแรงต่อคนเอเชียเกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น การเผาย่านไชน่าทาวน์ในเมืองซานฟรานซิสโก พ.ศ.2420 เป็นต้น
ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 กระแสการต่อต้านคนเอเชียโดยเฉพาะชาวจีนในสหรัฐฯ นั้นรุนแรงถึงขั้นมี พรบ.กีดกันคนจีน ประกาศใช้เป็นกฎหมายระดับประเทศใน พ.ศ.2425 โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้คนจีนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ด้วยการไม่ให้สถานะพลเมืองแก่ผู้อพยพหน้าใหม่ รวมถึงไม่ให้สัญชาติแก่เด็กที่เกิดจากแม่ชาวจีน ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติที่ 14 แห่งรัฐธรรมนูญอเมริกันที่ระบุว่าบุคคลใดก็ตามที่เกิดบนแผ่นดินอเมริกาถือว่าเป็นพลเมืองอเมริกัน พรบ.กีดกันคนจีนถูกแทนที่ด้วยกฎหมายกีดกันทางเชื้อชาติฉบับใหม่ไปใน พ.ศ.2486 ที่จำกัดโควตาผู้อพยพชาวชีนเพียงปีละ 105 คน ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายจิมโครว์ (Jim Crow Laws) ที่เป็นกฎหมายการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อคนตามสีผิวและเชื้อชาติ ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ
ไม่เพียงแต่ผู้อพยพชาวจีนยุคแรกเท่านั้นที่โดนเหยียดเชื้อชาติ แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้อพยพชาวญี่ปุ่นและคนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นจำนวนมากถูกคุมขังในค่ายกักกัน เพราะรัฐบาลอเมริกันยุคนั้นไม่เชื่อว่าคนญี่ปุ่นจะภักดีต่อสหรัฐฯ
ด้าน ปองขวัญ มองว่ากลุ่มคนเอเชียในสหรัฐฯ ถูกสร้างภาพจำในลักษณะของชนกลุ่มน้อยที่เป็นแบบอย่าง (Model minority) ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนอพยพที่ไม่เป็นต้องพึ่งพารัฐ แต่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตตัวเองขึ้นมาได้ตามภาพของความฝันแบบอเมริกัน (American Dream) โดยรัฐบาลอเมริกันยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จำเป็นต้องยกระดับภาพลักษณ์คนเอเชียเพื่อรักษาชาติพันธมิตรในสงครามเย็นด้วยการสร้างวาทกรรมว่าสหรัฐฯ คือประเทศแห่งโอกาสที่ทุกคนสามารถเติบโตได้ในโลกทุนนิยม และนำลักษณะของชนกลุ่มน้อยที่เป็นแบบอย่างนี้มาครอบงำอัตลักษณ์ของคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มชาวเอเชียตะวันออกที่ประสบความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจจนมีรายได้และความเป็นอยู่ทัดเทียมกับคนอเมริกันผิวขาว ซึ่ง ปองขวัญ มองว่าคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็น้อมรับวาทกรรมเหล่านี้และติดอยู่ในมายาคติของชนชั้นปกครองผิวขาว ทำให้คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียรู้สึกเป็นมิตรกับคนผิวขาวมากกว่า และมองว่าการประสบความสำเร็จคือสิ่งที่ทำให้ตัวเองอยู่เหนือกว่าชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ด้าน ภาณุภัทร เห็นด้วยกับปองขวัญว่าการสร้างอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติต่อชาวเอเชียในลักษณะนี้ ทำให้ชนชั้นปกครองชาวอเมริกันได้รับผลประโยชน์ทางสังคมด้านอื่นๆ ตามมา
ดวงยิหวา กล่าวว่า แม้จะเผชิญการถูกกดขี่จากโครงสร้างกฎหมายและสังคม แต่คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็พยายามสร้างภูมิคุ้มกันในแบบของตัวเอง เช่น การสร้างชุมชนตามเมืองใหญ่ๆ เช่น ลิตเติลโตเกียว ลิตเติลอินเดีย โคเรียทาวน์ ไชน่าทาวน์ หรืออีเดนเซ็นเตอร์ของชาวเวียดนาม รวมถึงการสร้างสังคมที่ไม่พึ่งพารัฐ เช่น ในนิวยอร์กมีโรงเรียนเอกชนสำหรับคนอเมริกันเชื้อสายจีนโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนที่มีเชื้อสายจีนถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนทั่วๆ ไป
นอกจากนี้ ผู้เสวนาทั้ง 3 คนยังเห็นตรงกันว่านอกจากการเหยียดเชื้อชาติคนเอเชียจากคนเชื้อชาติอื่นแล้ว คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็ยังเหยียดกันเอง เช่น ดาราตลกคนหนึ่งที่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเคยเล่นมุกว่า “ฉันจะเดทกับคนผิวขาว จะไม่ออกเดทกับคนที่หน้าตาเหมือนน้องชายตัวเอง” เป็นต้น
แนวโน้มการเหยียดเชื้อชาติคนเอเชียในอนาคต
ดวงยิหวา ยืนยันว่ากราฟความสัมพันธ์ของคนอเมริกันทั่วไปกับคนเอเชียจะเป็นขึ้นลงแบบเดิม เพราะคนอเมริกันไม่มีทางมองว่าคนเอเชียเป็นพวกเดียวกับตัวเอง แม้คนๆ นั้นจะเป็นคนเอเชียที่ถือสัญชาติอเมริกันก็ตาม
ด้าน ปองขวัญ ยกสถิติการเกิดอาชญากรรมต่อต้านคนเอเชียในสหรัฐฯ ระหว่าง พ.ศ.2562-2563 จัดทำโดยมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานเบอร์นาดิโน (CSUSB) ซึ่งพบว่าอาชญากรรมที่เกิดจากการเหยียดเชื้อชาติทั่วสหรัฐฯ ลดลง 7% แต่เมื่อพิจารณาเฉพาะอาชญากรรมการเหยียดเชื้อชาติคนเอเชีย พบว่าเพิ่มสูงขึ้นถึง 149% ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าเกิดจากการระบาดของโควิด-19 ประกอบกับวาทกรรมของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกโรคนี้ว่า ‘ไวรัสจีน’ รวมถึงคำพูดอื่นๆ ที่โจมตีคนเชื้อสายเอเชย โดย ปองขวัญ มองว่าทิศทางของเรื่องนี้ในอนาคตขึ้นอยู่กับวิธีการสื่อสารของผู้นำอเมริกัน โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่าคนเอเชียไม่ใช่รัฐบาลจีน และไม่ใช่ว่าคนจีนทุกคนจะเป็นภัยคุกคามเช่นเดียวกับรัฐบาลจีน นอกจากนี้ยังต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจบริบทความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งคนเอเชียหลายคนไม่เข้าใจจุดนี้ จึงกล่าวโทษรัฐบาลของไบเดนที่มีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน และสร้างวาทกรรมทำให้รัฐบาลอเมริกันเป็นคนหวงอำนาจในการวางระเบียบโลก ทั้งที่ความจริงแล้วรัฐบาลจีนเองก็เป็นภัยคุกคามต่อชาติอื่นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปองขวัญเสนอว่าการให้คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียมีตำแหน่งหลักในรัฐบาลของไบเดน อาจจะช่วยแก้ปัญหาอคติที่มีต่อคนเอเชียได้
คนเอเชียควรเตรียมตัวอย่างไรหากต้องไปใช้ชีวิตที่สหรัฐฯ ช่วงนี้
ดวงยิหวา บอกว่า ในฐานะคนเอเชียที่ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ ต้องทำใจ เพราะการเหยียดเชื้อชาติยังมีอยู่ในสหรัฐฯ แต่หากถูกเหยียดเชื้อชาติแล้วต้องการจะโต้กลับก็ต้องดูบริบทให้ดีก่อน เพราะจากประสบการณ์ของตน การสู้กลับในหลายพื้นที่ก็เป็นความเสี่ยงต่อชีวิตด้วยเช่นกัน แต่ในฐานะอาจารย์ ตนพยายามสอนให้นักศึกษาเห็นความแตกต่างของกันและกัน พยายามบ่มเพาะให้นักศึกษาเข้าใจความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม แม้จะเป็นการลงทุนในระยะยาว แต่หากคนรุ่นหลังมีความรู้ความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงสังคมได้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ส่วน ปองขวัญ แนะนำว่าให้ทุกคนตระหนักไว้ตลอดเวลาว่าเหตุการณ์เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นกับตนเองได้ จะเตรียมตัวได้หาวิธีรับมือ ที่สำคัญ ต้องลดอคติต่อสีผิวและเชื้อชาติของตนเองลง ทั้งยังสะท้อนและทำความเข้าใจการกระทำของตนเองว่าเป็นการเหยียดคนอื่นหรือเปล่า และเรียนรู้ที่จะยุติการกระทำนั้นๆ ในครั้งต่อๆ ไป ด้าน ภาณุภัทร เสริมว่าการผนึกกำลังระหว่างคนเอเชียกับชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติอื่นๆ คือ สิ่งสำคัญที่จะทำให้คนเอเชียยืนหยัดต่อสู้กับการเหยียดเชื้อชาติได้มากขึ้น
#StopAsianHate ยุติความเกลียดชังที่มีต่อคนเอเชีย
กระแสความเกลียดชังชาวเอเชียเพิ่มสูงทั่วโลกขึ้นนับตั้งแต่โรคโควิด-19 ระบาด โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกามีคนเอเชียถูกคุกคามทั้งทางกายและวาจาจำนวนมาก โดยหนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์ที่ วิชา รัตนภักดี ผู้สูงอายุชาวไทยวัย 84 ปีถูกทำร้ายจนเสียชีวิตขณะเดินอยู่ในละแวกบ้านที่เมืองซานฟรานซิสโก นอกจากนี้ ยังมีกรณีหญิงชาวฟิลิปปินส์ วัย 65 ปี ถูกทำร้ายในนครนิวยอร์ก, หญิงชาวฮ่องกงวัย 75 ปีถูกปล้นและทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตในเมืองโอ๊คแลนด์, ชาวเวียดนามถูกทำร้ายในเมืองซานโฮเซ และชาวฟิลิปปินส์ถูกกรีดหน้าในแมนฮัตตัน เป็นต้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:
คนดังชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียร่วม Call Out
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าว CNN ของสหรัฐฯ สัมภาษณ์คนดังชาวอเมริกันหลายคนที่มีเชื้อสายเอเชีย โดยหนึ่งในนั้น คือ เอริค นัม นักร้องชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี ซึ่งเกิดและเติบโตที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมืองเดียวกับที่เกิดเหตุกราดยิงครั้งล่าสุดและมีผู้เสียชีวิตรวม 8 ราย เป็นชาวเอเชียถึง 6 ราย โดย นัม กล่าวว่า เขาต้องเจอกับการถูกเหยียดเชื้อชาติเช่นเดียวกับคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนอื่นๆ แต่เรื่องเหล่านี้เพิ่งกลายเป็นประเด็นที่ทุกคนสนใจและหยิบมาถกกันมากขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
“ผมคิดว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากความเขลา การขาดการศึกษา รวมถึงการขาดพื้นที่ถกเถียง มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเป้าโจมตีและถูกเลือกปฏิบัติ บางครั้งก็มีคนเผลอแสดงกิริยาเหยียดเชื้อชาติอย่างไม่ตั้งใจใส่ผมก็มี ผมก็คิดว่าแบบ ‘นี่มันเหยียดกันหรือเปล่า’ แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน” นัม กล่าว
นอกจากนี้ นัม ยังเผยว่าคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียหลายคนถูกมองว่าเป็นชาวต่างชาติในประเทศบ้านเกิดของตัวเอง
“สหรัฐอเมริกามีประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่ง แต่ก็มีส่วนที่เป็นด้านมืดสุดๆ เช่นเดียวกัน คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียจำนวนไม่น้อยต้องผชิญกับการเหยียดเชื้อชาติแบบนับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้านมืดเหล่านั้นกลับถูกซุกไว้ใต้พรม ซึ่งเราเองก็ไม่เคยหยิบมันออกมาพูดกันอย่างเหมาะสมสักที” นัม กล่าว พร้อมยกตัวอย่างเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติเล็กๆ น้อยๆ ในบทสนทนาประจำวันที่เขาต้องเจอ เช่น การถูกถามว่า ‘มาจากที่ไหน’ ซึ่งเขาตอบไปเสมอว่ามาจากเมืองแอตแลนตา แต่คู่สนทนาหลายคนกลับไม่เชื่อ
“ก็ผมเกิดที่นี่ จะให้ผมมาจากที่ไหน” นัม กล่าว นอกจากนี้ ยังมีคำถามอื่นๆ เช่น ‘ภาษาอังกฤษของคุณดีจัง ไปเรียนมาจากที่ไหน’ ซึ่งเขาจะตอบกลับไปเสมอว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกของเขา ซึ่งเขาพูดมาตั้งแต่เกิด
“ทุกครั้งที่ผมโดนถามอะไรแบบนี้ ผมรู้สึกว่าที่นี่เหมือนไม่ใช่ที่ของผม ซึ่งหลายคนที่มีเชื้อสายเอเชียก็ต้องเจออะไรแบบนี้กันทั้งชีวิต มันเป็นการเหยียดเชื้อชาติที่รุนแรงผ่านการพูดคุยทั่วๆ ไป และมันก็คืบคลานเข้ามาหาเราจากหลายทิศทาง” นัม กล่าว
ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ นัม กล่าวสั้นๆ ว่ากระแสการเหยียดเชื้อชาติคนเอเชียส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านลบของคนอเมริกันในสายตาคนต่างชาติ โดยเฉพาะคนเอเชีย
“ตัวอย่างเหตุการณ์เหล่านี้คือการจุดไฟและเติมเชื้อเพลิงต่ออารมณ์ความรู้สึกที่อ่อนไหว แต่ยังไงผมก็รักประเทศนี้ การเห็นไฟแห่งความเกลียดชังที่ลุกโชนนั้นทำให้ผมหัวใจสลาย” นัมกล่าวทิ้งท้าย
I spoke with CNN to keep this important conversation going. #StopAsianHate #StopAAPIHate https://t.co/LLIM0Ji60A
— Eric Nam (에릭남) (@ericnamofficial) March 22, 2021
ไม่เพียงแค่ เอริค นัม เท่านั้นที่ออกมาเรียกร้องให้ยุติการเหยียดเชื้อชาติคนเอเชีย แต่คนในวงการบันเทิงอเมริกันที่มีเชื้อสายเอเชียหลายคนยังออกมาร่วมเรียกร้องด้วย เช่น จอร์จ ทาเคอิ นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดังเชื้อสายญี่ปุ่น ผู้รับบทฮิคารุ ซูลู ในซีรีส์ Star Trek, แซนดรา โอ นักแสดงจากซีรีส์ Grey’s Anatomy, อะควาฟินา นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง Crazy Rich Asian, โอลิเวีย มันน์ นักแสดงที่มีเชื้อสายเวียดนาม-จีน, แดเนียล แด-คิม นักแสดงจากซีรีส์ The Good Doctor, เจมี่ ช็อง นักแสดงจากซีรีส์ The Gifted, ลาน่า คอนดอร์ นักแสดงนำจากภาพยนตร์ To All the Boys I've Loved Before, นาโอมิ โอซากะ นักเทนนิสชาวญี่ปุ่น และคริสซี ทีเกน นางแบบลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ภรรยาของ จอห์น เลเจนด์ นักร้องชื่อดังชาวอเมริกัน เป็นต้น
ที่มา:
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)