Skip to main content
sharethis

'เพื่อไทย' ห่วง 'ประยุทธ์' ไม่เข้าใจ แจกเงินแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ สร้างงานสำคัญกว่าแจกเงิน ระบุแจกเงินยิ่งกว่า 'ประชานิยม' อาจพาชาติล่มจมจริงเพราะหนี้พุ่ง - ชี้ไทยถูกองค์กรนานาชาติอีไอยูจัดอันดับเป็นประเทศประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ 3 ปีซ้อน เหตุประเทศไทยมีรัฐบาลแฝงตัวการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจ ทั้งที่จริงคือเผด็จการซ่อนรูป


พชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย

เว็บไซต์พรรคเพื่อไทย รายงานเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2565 ว่านายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หนี้สาธารณะของประเทศไทยอยู่ที่ 9.62 ล้านล้านบาท คิดเป็น 59.58% ของจีดีพี อีกไม่นานคงทะลุ 10 ล้านล้านบาทและเกิน 60% ของจีดีพีแน่นอน ในขณะที่หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงกว่า 14.35 ล้านล้านบาท และยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่มีแนวทางที่จะลดหนึ้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนนี้ และยังกลับคิดว่าการแจกเงินเป็นทางแก้ไขของปัญหา ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหามากขึ้นเพราะเป็นการกู้มาแจกทำให้หนึ้สาธารณะเพิ่มมากขึ้น แต่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ พิสูจน์ได้จาก พลเอกประยุทธ์แจกเงินมาหลายปีแล้ว แต่คนกลับจนลง หนี้ครัวเรือนกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้พยายามชี้แนวทางว่าต้องสร้างงาน เพราะไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะจนทั้งแผ่นดินซ้ำเติมภาวะแพงทั้งแผ่นดิน

ทั้งนี้ แทนที่พลเอกประยุทธ์จะเข้าใจ กลับส่งคนออกตอบโต้ท้าให้ยกเลิกบัตรคนจน เที่ยวด้วยกัน ชิมช้อปใช้ ยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งน่าจะเข้าใจสถานการณ์ผิดพลาดหมด ความเป็นจริงคือคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเห็นว่าการช่วยเหลือประชาชนที่กำลังลำบากจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์เป็นเรื่องที่จำเป็นและต้องทำ แต่การสร้างงานสำคัญกว่าการแจกเงินมาก แจกเงินใช้ไม่นานก็หมดไป แต่การสร้างงานจะทำให้เป็นรายได้ที่ถาวร ซึ่งเชื่อว่าถ้าเลือกได้ประชาชนคงอยากได้เงินเดือนประจำในระดับที่จะเลี้ยงครอบครัวได้สบาย มากกว่าจะมารับแจกเงินเพียงไม่กี่พันบาทตามนโยบายปัจจุบัน ดังนั้นนโยบายของคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยจะมุ่งสร้างงานเป็นหลัก มากกว่าจะกู้เงินมาแจกเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งในประเทศที่เจริญแล้วดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญคือดัชนีวัดการจ้างงาน โดยเฉพาะปัจจุบันที่ประเทศไทยมีประชาชนตกงานกันมากถึงหลายล้านคน

ทั้งนี้หากมองย้อนหลังจะพบว่ามีวาทกรรมในอดีตกล่าวหานโยบายช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่น 30บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โอทอป SMEs SML ฯลฯ ว่าเป็น “ประชานิยม” และจะพาชาติล่มจม ทั้งที่โครงการเหล่านี้ที่เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย สร้างรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมาก ประชาชนมีรายได้เพิ่ม มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุข และที่สำคัญคือตลอดเวลาหลายปีที่ดำเนินนโยบาย หนี้สาธารณะของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำเพียงประมาณ 40% ของจีดีพีเท่านั้น ประเทศไม่ได้ล่มจมตามวาทกรรมใส่ร้ายแต่อย่างใด

ในขณะที่ปัจจุบันพลเอกประยุทธ์แจกเงินสะเปะสะปะ ประเทศไม่ได้พัฒนา คนจนลงกันหมด ซึ่งยิ่งแจก คนยิ่งจน หนี้ยิ่งเพิ่ม โดยหนี้สาธารณะของประเทศพุ่งไม่หยุด ต้องขยายเพดานหนี้จาก 60% เป็น 70% แล้ว และยังมีแนวโน้มจะต้องขยายเพดานกันอีกถ้ายังบริหารแบบนี้ และยังจะกู้เงินมาแจกแบบนี้ ซึ่งน่าจะแจกเงินแล้วอาจจะทำให้ชาติล่มจมจริงๆ มากกว่าในอดีตมาก เพราะหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นจริง หนี้ครัวเรือนพุ่งขึ้นสูงจริง และพลเอกประยุทธ์ยังไม่รู้ว่าจะลดหนี้ได้อย่างไรเลย แบบนี้ไม่พาชาติล่มจมแล้วแบบไหนจะเรียกพาชาติล่มจม ซึ่งตัวเลขไม่โกหกและสามารถพิสูจน์ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้วาทกรรมใส่ร้าย คนรุ่นใหม่แล้วไม่มีใครหลอกใครได้ ดังนั้นจึงพิสูจน์แล้วว่าในอดีตที่บอกว่าประชานิยมพาชาติล่มจมจึงไม่จริงแต่ปัจจุบันที่กู้เงินมาแจกแบบเงินสะเปะสะปะแบบที่เป็นอยู่ ชาติอาจจะล่มจมได้จริงๆ ซึ่งอยากให้ผู้ที่เคยใช้วาทกรรมแบบเดิมได้พิจารณาให้ชัดเจนว่าแบบไหนที่ชาติจะล่มจมจริง และหันมาสนใจชาติที่กำลังจะล่มจมกันจริงๆในปัจจุบัน จากการบริหารที่ล้มเหลวแต่คิดได้แค่จะแจกเงินเพื่อรักษาความนิยมเท่านั้น

ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และยังไม่มีทิศทางที่จะฟื้นได้อย่างไร ประเทศต้องการผู้นำที่ต้องสร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้ และต้องมีทิศทางของประเทศชัดเจนว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร การประคองตัวอยู่ไปวันๆแต่ไม่มีอะไรดีขึ้นก็มีแต่จะเสื่อมลงเท่านั้น ขนาดประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยังต้องเรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ เพราะปัจจุบันยังไม่เห็นทิศทางว่าจะมีอะไรดีขึ้น ยิ่งถ่วงเวลาปัญหาของประเทศจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและจะแก้ไขยากขึ้น หรืออาจจะแก้ไม่ได้เลยถ้ายังจะทำความเสียหายไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุด และอยากให้มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาและนำพาประเทศพ้นวิกฤติได้หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชน หรือ “เลือกพรรคเพื่อไทยพาชาติพ้นภัย”

ชี้ประเทศไทยมีรัฐบาลแฝงตัวการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจ ทั้งที่จริงคือเผด็จการซ่อนรูป

ด้านนางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีสถาบันวิจัย The Economist Intelligence Unit (EIU) รายงานดัชนีประชาธิปไตย (Democracy Index) ปี 2021 (พ.ศ.2564) ของประเทศไทยซึ่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศ “ประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์” เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 เป็นต้นมา สะท้อนว่า แม้ที่ผ่านมาจะมีการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2562 ก็ตาม แต่ประเทศไทยยังมีอัตราการถดถอยของประชาธิปไตยที่แย่ลงอย่างต่อเนื่อง กระบวนการเลือกตั้งในปี 2562 ถูกอ้างเพื่อใช้เป็นความชอบธรรมอำพรางตัวเข้าสู่อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร สู่นายกรัฐมนตรีที่คนไทยไม่ต้องการ เป็นผู้นำเผด็จการที่ซ่อนรูปในคราบประชาธิปไตย แต่สุดท้ายไม่อาจอำพรางความเป็นจริงจากสายตาประชาคมโลกไปได้

นางสาวชญาภา กล่าวต่ออีกว่า ดัชนีประชาธิปไตยดังกล่าวพิจารณาจาก 5 ตัวชี้วัด ได้แก่

1.กระบวนการการเลือกตั้งและมีหลายตัวเลือก
2.การทำงานของรัฐบาล
3.การมีส่วนร่วมทางการเมือง
4.วัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย
5.เสรีภาพของประชาชน

ซึ่งสภาพการณ์ของประเทศไทยที่ผ่านมาภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ มีการทำลายหลักการของระบอบประชาธิปไตยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเลือกตั้งที่ออกแบบให้สถาบันการเมืองหรือพรรคการเมืองอ่อนแอ ไม่เป็นเอกภาพ สะท้อนจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในช่วงที่ผ่านมาที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมองค์ประชุมในฟากฝั่งของรัฐบาลได้เลย รวมไปถึงกระบวนการเลือกตั้งในปี 2562 ที่มีการจำกัดไม่ให้มีองค์กรต่างประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์ ที่สำคัญมีการปิดกั้นและจำกัดการแสดงความคิดเห็นของประชาชนคนเห็นต่างจากรัฐบาลและไม่ได้รับการคุ้มครอง จนมีนักโทษทางความคิดถูกจับกุมคุมขังเป็นจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ที่อ้างว่าผ่านกระบวนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่เหตุใดการมีส่วนร่วมและเสรีภาพของประชาชนกลับถูกจำกัดควบคุมอย่างเข้มงวด

“พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงไม่ใช่ผู้นำความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องประชาธิปไตยของประเทศและสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่เป็นผู้นำที่ทำให้ประเทศชาติถดถอยทุกด้าน และไม่มีวันที่ประชาธิปไตยจะเบ่งบานได้ภายใต้การนำของอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ไม่มีวันที่ประเทศไทยจะสง่างามและเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก” นางสาวชญาภา กล่าว


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net