ระหว่างที่ประชุมวุฒิสภากำลังพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันซ้อมทรมานอุ้มหายฯ ที่ กมธ.ของส.ว.มีการตัดแก้ร่างที่มีมติผ่านมาจากส.ส. องค์กรด้านสิทธิมนุษชนหลายองค์กรร่วมกันลงนามเรียกร้องให้ ส.ว.ผ่านร่างกฎหมายนี้โดยยืนยันไปตามหลักการของกฎหมายที่ผ่านมาจากชั้น ส.ส.เนื่องจากที่เนื้อหาที่ กมธ.ส.ว.ตัดแก้จะทำให้เกิดช่องซ้อมทรมาน
9 ส.ค.2565 สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) และองค์กรสิทธิมนุษยชนอีก 8 แห่งได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกวุฒิสภาที่กำลังพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ…. ในที่ประชุมวุฒิสภาเพื่อลงมติวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ในวันนี้
ในจดหมายระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวที่ผ่านการแก้ไขจากชั้นคณะกรรมาธิการของวุฒิสภานั้น ทำให้สาระสำคัญหลายประการผิดไปจากเจตนารมณ์ของสภาผู้แทนราษฎรและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ที่มุ่งหมายให้มีกฎหมายฉบับนี้ เป็นการยกระดับปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนประเทศไทยให้เป็นไปตาม อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel Inhuman or Degrading Treatment or Punishment: CAT) และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection of all Persons from Enforced disappearance : CED)
สาระสำคัญที่ถูกตัดออกไป เช่น
1. การตัดนิยามของ “การกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานแก่ร่างกายหรือจิตใจ ที่มิใช่การกระทำความผิดตามมาตรา 5 ถือเป็นความผิดทางอาญา” ออกไป ส่งผลให้การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดทางอาญา
2. ตัดข้อบังคับให้ต้องบันทึกวีดีโอระหว่างควบคุมตัวซึ่งระบุให้เจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อควบคุมตัวแล้วจะต้องทำการบันทึกภาพและเสียงทั้งในขณะที่ทำการจับกุมและควบคุมตัวจนกระทั่งส่งไปถึงพนักงานสอบสวน การตัดข้อความดังกล่าวออกไปซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงว่าจะมีการซ้อมทรมานมากที่สุด จะทำให้เกิดการซ้อมทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหายได้โดยง่าย
3. การกำหนดให้กฎหมายอื่นๆ ที่มีข้อยกเว้นความรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ให้นำมาใช้กับกฎหมายนี้
4. การแก้ไขเรื่องอายุความสำหรับความผิดอันเกิดจากการกระทำให้สูญหาย เป็นอายุความ 20 ปี โดยมิให้เริ่มนับจนกว่าจะทราบชะตากรรมของผู้ถูกกระทำให้สูญหาย
5. แก้ไขให้คดีความผิดตาม พ.ร.บ.นี้ เป็นคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ โดยตัดอำนาจ พนักงานสอบสวน พนักงานฝ่ายปกครอง พนักงานอัยการให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสอบสวนคดีซ้อมทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหายออกไป
6. การพิจารณาคดีตาม พ.ร.บ.นี้ให้เป็นการพิจารณาในศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบแต่ยังให้เจ้าหน้าที่ทหารที่กระทำความผิดขึ้นศาลทหารที่ล่าช้าและส่งผลถึงการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้เสียหาย เนื่องจากศาลทหารมีกระบวนพิจารณาที่มุ่งหมายตรวจสอบการกระทำผิดตามกฎหมายอาญาทหารเท่านั้น มิใช่มุ่งดำเนินกระบวนพิจารณากรณีที่ทหารกระทำผิดอาญาแผ่นดิน
“เราจึงขอเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภา ได้โปรดยืนยันหลักการตามร่างกฎหมายฉบับเดิมที่ผ่านมติเห็นชอบโดยสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว เพื่อเป็นการยืนยันหลักการเจตนารมณ์ของการมีร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย สอดคล้องกับที่ประเทศไทยต้องอนุวัติการกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับกฎหมายสากลที่รัฐไทยมีพันธกรณี ทั้งยังเป็นกฎหมายที่ภาคประชาชนให้การยอมรับ นำไปสู่การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่สามารถเกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง อันเป็นการยกระดับความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนของไทย ให้ยืนหยัดอย่างสง่างามในเวทีประชาคมโลกต่อไป” ระบุในท้ายจดหมาย
จดหมายเปิดถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เรื่อง ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ….
ตามที่วุฒิสภาได้ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ…. ในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2565 อันเป็นผลให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กำลังจะถูกส่งมายังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลงมติว่าเห็นชอบด้วยหรือไม่กับการแก้ไขเพิ่มเติมของวุฒิสภา นั้น
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) และองค์กรสิทธิมนุษยชนดังรายนามข้างท้าย มีความเห็นร่วมกันว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวที่ผ่านวาระที่ 3 มาจากวุฒิสภานั้นไม่ได้มีการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ฉบับของสภาผู้แทนราษฎรในหลักการสำคัญ โดยวุฒิสภายังคงไว้ซึ่งเจตนารมณ์ของสภาผู้แทนราษฎรและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่มุ่งหมายให้มีกฎหมายฉบับนี้เป็นการยกระดับปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนประเทศไทยให้เป็นไปตาม อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel Inhuman or Degrading Treatment or Punishment: CAT) และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection of all Persons from Enforced disappearance : CED) แม้จะมีข้อกังวลเรื่องการไม่ยืดอายุความ ไม่ได้กำหนดชัดเจนเรื่องความผิดต่อเนื่องในกรณีการกระทำให้บุคคลสูญหาย และการไม่ให้มีคณะกรรมการตามพรบ.ฉบับนี้ด้วยการสรรหา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายรวมทั้งไม่ให้มีผู้เสียหายหรือผู้แทนผู้เสียหายในระบบการแต่งตั้งคณะกรรมการ ก็ตาม
ร่าง พ.ร.บ.ที่แก้ไขโดยคณะกรรมาธิการ วุฒิสภา ได้ยืนยันสาระสำคัญตามเจตนารมณ์ของกฎหมายหลายประการ เช่น การนิยามของ “การกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานแก่ร่างกายหรือจิตใจ ที่มิใช่การทรมานเป็นความผิดทางอาญา” การกำหนดข้อบังคับให้ต้องบันทึกวีดีโอระหว่างควบคุมตัวซึ่งระบุให้เจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อควบคุมตัวแล้วจะต้องทำการบันทึกภาพและเสียงทั้งในขณะที่ทำการจับกุมและควบคุมตัวจนกระทั่งส่งไปถึงพนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นมาตรการที่สำคัญในการป้องกันการซ้อมทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหายได้โดยง่าย การกำหนดให้ห้ามทรมานในสถานการณ์สงครามและสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ไม่ยกเว้นความรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ การกำหนดอำนาจสอบสวนคดีความผิดตาม พ.ร.บ.นี้ไว้กับหลายหน่วยงานทั้งพนักงานสอบสวน ฝ่ายปกครอง อัยการและเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ การเริ่มนับอายุความเมื่อทราบชะตากรรมของผู้ถูกกระทำให้สูญหาย การยืนยันให้การพิจารณาคดีตาม พ.ร.บ.นี้ให้ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นศาลพิจารณาการกระทำความผิด และให้ตัดอำนาจศาลทหารกรณีเจ้าหน้าที่ทหารที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้
ด้วยเหตุนี้เราจึงขอเรียกร้องให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้โปรดพิจารณารับรองร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ…. ฉบับที่ทางวุฒิสภามีมติเห็นชอบและจะส่งกลับมาที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ผ่านเป็นกฎหมายโดยเร็ว ทั้งนี้เพราะหากไม่เห็นชอบจะต้องมีการตั้งกรรมาธิการร่วมระหว่างวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะทำให้การพิจารณาผ่านกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ล่าช้าไปอีก จนอาจไม่ทันสมัยประชุมรัฐสภาที่เหลืออีกไม่นาน ทั้งนี้เพื่อเป็นการยืนยันหลักการเจตนารมณ์ของการมีร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย สอดคล้องกับที่ประเทศไทยต้องอนุวัติการกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับกฎหมายสากลที่รัฐไทยมีพันธกรณี ทั้งยังเป็นกฎหมายที่ภาคประชาชนให้การยอมรับ นำไปสู่การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่สามารถเกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง อันเป็นการยกระดับความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนของไทย ให้ยืนหยัดอย่างสง่างามในเวทีประชาคมโลกต่อไป
ด้วยความเชื่อมั่นในหลักการสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย
รายนามองค์กรที่ร่วมลงชื่อเรียกร้องทั้ง 9 องค์กรได้แก่
1. สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
2. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CRCF)
3. กลุ่มด้วยใจ
4. สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)
5. กลุ่มนอนไบนารีแห่งประเทศไทย
6. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)
7. มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
8. เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ JASAD
9. เครือข่ายสิทธมนุษยชนปาตานี HAP