Skip to main content
sharethis

ศาลฎีกามีคำสั่ง 'รับฎีกา' คดีแม่ชัยภูมิ ป่าแส เป็นโจทก์ฟ้องกองทัพบก ระบุ ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย จึงมีคำสั่งรับฎีกาไว้พิจารณา หลังก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีนี้ ด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานของกองทัพมีน้ำหนักมากกว่า ทำให้เชื่อได้ว่าการวิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิเป็นเพียงการป้องกันตัวของพลทหารผู้ก่อเหตุ

 

16 ม.ค. 2566 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานว่า เวลา 09.00 น. ศาลแพ่งอ่านคำสั่งศาลฎีกา กรณีนาปอย ป่าแส (โจทก์) แม่ของชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมเยาวชนชาวลาหู่ ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อกองทัพบก (จำเลย) เหตุเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืน M16 ยิงชัยภูมิ ป่าแส จนเสียชีวิตเมื่อปี 2560 

ก่อนหน้านี้ได้มีการยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หลังศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องตามศาลชั้นต้น เป็นผลให้กองทัพบกไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายแก่นาปอย ป่าแส เหตุว่าพยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมากกว่า ทั้งนี้คำสั่งของศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย จึงมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฎีกา และรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา

การยื่นฎีกาในครั้งนี้มีประเด็นสำคัญ ดังนี้ การพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ทหารป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเป็นต้องพิจารณาใน 2 ประเด็น 

ประเด็นแรกต้องพิจารณาว่าการกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงหรือไม่ หากศาลฎีกาพิจารณาฎีกาของโจทก์ที่ได้บรรยายไว้โดยละเอียดแล้วจะเห็นได้กว่าการกระทำของชัยภูมิตามที่เจ้าหน้าที่ทหารเบิกความถึงนั้นขัดแย้งกับพยานหลักฐานผลตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของผู้ตายจากวัตถุระเบิดอย่างชัดแจ้ง จึงไม่มีน้ำหนักให้ศาลฎีกาเชื่อถือรับฟังแต่อย่างใด ดังนั้นจึงฟังได้ว่าภยันตรายที่เจ้าหน้าที่ทหารกล่าวอ้างนั้นไม่มีและไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึง  

ประเด็นที่สอง เจ้าหน้าที่ทหารที่วิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ เป็นเจ้าหน้าที่ทหารไม่ใช่ประชาชนทั่วไป ศาลอุทธรณ์จึงไม่อาจอ้างความเข้าใจของวิญญูชนทั่วไปมาใช้วินิจฉัยกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารคนนี้วิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้ถืออาวุธและมีอำนาจตามกฎหมายอยู่ในมือ ย่อมจะต้องมีวิจารณญานสูงกว่าวิญญูชนทั่วไป เพราะการปฏิบัติหน้าที่อาจก่อความเสียหายให้กับประชาชนมากกว่าวิญญูชน

ภายใต้หลักการพิจารณาทั้งสองประการจะเห็นได้ว่าการที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ซึ่งเป็นอาวุธสงครามยิงชัยภูมิบริเวณต้นแขนซ้ายซึ่งอยู่ระดับเดียวกับทรวงอกที่เป็นอวัยวะสำคัญ ย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาวุธปืนสงครามมีอำนาจทำลายล้างสูง และย่อมจะทำให้ชัยภูมิถึงแก่ความตายได้ เจ้าหน้าที่ทหารที่ยิงย่อมมีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยเล็งเห็นผล ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุแม้จะยิงเพียงนัดเดียวก็ตาม

ด้วยเหตุผลพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังที่โจทก์ ร้องต่อศาลฎีกา ครอบครัวชัยภูมิจึงขอให้ศาลฏีกา มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์โดยพิพากษาให้เป็นไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ เพื่อให้โจทก์ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและให้ครอบครัวได้รับการเยียวยาตามสิทธิที่พึงได้รับ

ทั้งนี้ ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาที่ทนายความและครอบครัวของชัยภูมิได้ยื่นไป พร้อมทั้งศาลฎีกาได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้กับครอบครัวชัยภูมิ และกองทัพบกซึ่งเป็นจำเลยต้องยื่นแก้คำฎีกามาภายใน 15 วัน ส่งให้ศาลชั้นต้นเพื่อรวบรวมสำนวนและส่งคืนศาลฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไป

รัษฎา ทนายความของครบอครัวให้สัมภาษณ์หลังเสร็จสิ้นการพิจารณาคดีว่า ศาลฎีกาได้มีคำสั่งลงมาว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาที่เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่การพิจารณาของศาลฎีกา และสั่งรับฎีกาของโจทก์ ดังนั้นคดีก็อยู่ระหว่างที่จะต้องให้กองทัพบกทำการแก้ฎีกาเข้ามาภายใน 15 วัน ซึ่งคำสั่งศาลวันนี้ก็เป็นคำสั่งสั้นๆที่ถือว่าศาลท่านได้ให้ความยุติธรรมกับประชาชนให้ได้สู้ถึงชั้นฎีกานับว่าเป็นเรื่องที่ดี ก็ต้องขอบคุณองค์คณะของศาลฎีกาที่รับฎีกาของแม่ชัยภูมิด้วย โดยขั้นตอนต่อไปศาลจะพิจารณาทั้งคำฎีกาและคำแก้ฎีกาของกองทัพบก ถ้ามีนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาศาลก็จะมีหมายแจ้ง ซึ่งน่าจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาประมาณ 6  เดือนขึ้นไป ตนคิดว่าศาลน่าจะพิจารณาอย่างละเอียด 

"ผมรู้สึกว่าครอบครัวของชัยภูมิ ป่าแส แม้เขาจะมีฐานะที่ยากจน แต่เขาเข้าใจว่าคนเราจะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมและต่อสู้ให้ถึงที่สุด เวลาคณะทนายความอธิบายให้เขาเข้าใจเขาก็ตั้งใจที่จะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกเขา" ทนายความสิทธิมนุษยชนของครอบครัวชัยภูมิ ป่าแส ระบุ

รัษฎา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตนคิดว่าคดีวิสามัญฆาตกรรมมีความสำคัญเพราะว่าฝ่ายหนึ่งเป็นประชาชนที่เสียชีวิตโดยการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนั้นองค์กรของรัฐจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดังนั้นคดีวิสามัญฆาตกรรมมีความสำคัญตั้งแต่ชั้นของพนักสอบสวนต้องร่วมทำการสอบสวนพร้อมกับพนักงานอัยการ และพนักงานอัยการเมื่อกฎหมายมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้ทำเพื่อผดุงความยุติธรรมพนักงานอัยการก็ต้องทำให้เต็มที่ตั้งแต่ชั้นสอบสวน  ในคดีนี้แต่ละคนมีหน้าที่ที่ควรทำก็ต้องไปตรวจดูว่าแต่ละคนได้ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ 

ขณะที่ไมตรี จำเริญสุขสกุล นักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้ก่อตั้งกลุ่มด้วยใจรัก (รักษ์ลาหู่) ซึ่งเป็นผู้ดูแลชัยภูมิกล่าวว่า อยากขอบคุณทีมทนายความและหลายหน่วยงานที่ยังร่วมต่อสู้กับครอบครัวในกรณีนี้อยู่ และขอบคุณศาลฎีกาที่รับฎีกาของครอบครัว แม้ว่าหลายนัดที่ผ่านมาเราจะยังไม่เห็นความเป็นธรรม แต่ครั้งนี้ทำให้ครอบครัวได้เห็นความหวังในการต่อสู้ขึ้นมาอีกครั้ง และแม้ตลอดเวลาของการต่อสู้พวกเราจะเหนื่อยและได้รับผลกระทบกับครอบครัวอย่างมาก แต่เมื่อมีโอกาสเข้ามาพวกเราก็ยังยืดหยัดที่จะสู้ต่อโดยเฉพาะแม่ของชัยภูมิที่ต้องอยู่อย่างยากลำบาก เพราะขาดเสาหลักของบ้านอย่างชัยภูมิ แต่ก็ไม่ทำให้แม่หมดแรงพลังที่จะสู้และเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกเช่นกัน 

ขณะที่ ยุพิน ซาจ๊ะ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มด้วยใจรัก ซึ่งเป็นผู้ดูแลชัยภูมิด้วยเช่นกันกล่าวเพิ่มเติมว่า  ตอนแรกเราก็นึกว่าจะไม่มีความหวังแล้ว แต่พอทราบข่าวว่าศาลฎีการับฎีกาของแม่ชัยภูมิทำให้เรามีความหวังกันเพิ่มมากขึ้น มีพลังที่จะสู้ต่อมากขึ้น เราอยากให้แม่ของชัยภูมิได้รับค่าชดเชยเพราะแม่ชัยภูมิไม่เหลือใครแล้ว แม่เขาเสียลูกจากการวิสามัญฆาตกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างน้อยเขาควรได้รับความเป็นธรรมด้วยการได้รับเงินชดเชยเยียวยาเพื่อให้แม่เขาได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ได้ชดเชยเยียวยาเพื่อทดแทนจากการที่เขาต้องเสียลูกที่เป็นเสาหลักของครอบครัวเขาด้วย 

หลุมศพชัยภูมิ ป่าแส

คดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2560 เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งประจำอยู่ที่ด่านตรวจบ้านรินหลวง  ต.เมืองนะ  อ.เชียงดาว  จ.เชียงใหม่ ตรวจค้นรถยนต์ชัยภูมิ ป่าแส ที่ขับรถยนต์เดินทางพร้อมเพื่อนอีกหนึ่งคน ผ่านด่านตรวจดังกล่าว ก่อนที่ชัยภูมิจะถูกเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าชัยภูมิพยายามขัดขืนและทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยอาวุธมีดและระเบิดขว้างสังหาร จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้จนชัยภูมิเพื่อป้องกันตนเอง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังกล่าวหาว่าพบยาบ้าเป็นจำนวน 2,800 เม็ด ซ่อนอยู่ในหม้อกรองน้ำของรถยนต์ของชัยภูมิอีกด้วย

นาปอย ป่าแส แม่ของชัยภูมิ ป่าแส

พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม แสดงความคิดเห็นหลังศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาว่า “การอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลสูงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะเยียวยาญาติผู้เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐได้ ขอบคุณระบบตุลาการในชั้นฎีกาที่วันนี้อนุญาตให้แม่ชัยภูมิและสังคมได้สู้ต่อ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำให้ชีวิตเยาวชนชนเผ่าคนหนึ่งสูญเสียไป แม้กองทัพบกจะยืนยันว่ากระสุนที่ยิงจากทหารในสังกัดจะเป็นการป้องกันตัว ญาติและสังคมยังสงสัยในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นคำพิพากษาศาลฎีกาจะช่วยคลี่คลายข้อเท็จจริงซึ่งสำคัญยิ่งต่อการเยียวยาญาติผู้เสียชีวิตและสังคม”

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม  สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และองค์กร Protection International (PI) ซึ่งให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ครอบครัวชัยภูมิ ป่าแส เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดให้ถึงที่สุด ขอเชิญชวนให้สื่อมวลชนและผู้ที่สนใจ จับตาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปเพื่อติดตามว่าศาลฎีกาจะสั่งกองทัพบกชดใช้ค่าเสียหายแก่นาปอย ป่าแส เพื่อเป็นการเยียวยาและลงโทษผู้กระทำความผิดต่อการสูญเสียของครอบครัวของชัยภูมิ ป่าแส จากการกระทำละเมิดโดยเจ้าหน้าที่รัฐต่อไปหรือไม่

 

 

วันที่ 17 ม.ค. 2566 เวลา 18.23 น. มีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับประเด็นในฎีกา

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net