มาร์ค สมิธ เจ้าหน้าที่ทางการทูต ตำแหน่งเลขานุการโท ด้านต่อต้านก่อการร้าย ประจำสถานทูตสหราชอาณาจักร ในกรุงดับบลิน ไอร์แลนด์ลาออก โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรอาจเป็นผู้ร่วมกระทำผิดในอาชญากรรมสงคราม
สมิธ ส่งอีเมลถึงเพื่อนร่วมงานเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ระบุว่า เขาได้แสดงความกังวลในทุกระดับภายในกระทรวงการต่างประเทศผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งกลไกแจ้งเบาะแสเมื่อพบเห็นการกระทำผิด หรือการให้ข้อมูลรูปแบบต่างๆ แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง สมิธกล่าวว่า เขาเศร้าที่ต้องลาออก หลังจากทำงานในกระทรวงการต่างประเทศมานาน และได้รับเพียงคำตอบจากการยื่นคำร้องว่า “ขอบคุณ เราได้รับเรื่องร้องเรียนจากท่านแล้ว”
สมิธกล่าวว่าก่อนหน้านี้ เขาทำงานในฝ่ายประเมินการให้ใบอนุญาตส่งอาวุธไปยังตะวันออกกลางให้กับรัฐบาล และในแต่ละวันเพื่อนร่วมงานต่างก็เป็นประจักษ์พยานต้อตัวอย่างการก่ออาชญากรรมสงครามที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง รวมทั้งการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศของอิสราเอลในกาซ่า
ในอีเมล สมิธเขียนว่า “เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลอิสราเอลหลายคน และกองทัพอิสราเอลแสดงออกว่าต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเปิดเผย ทหารอิสราเอลถ่ายวิดีโอการเผาทำลายและปล้นบ้านของพลเรือน ที่อยู่อาศัยของชาวกาซ่าถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง ขณะที่ทรัพย์สินเอกชนกว่า 80 เปอร์เซนต์เสียหายหรือถูกทำลาย ถนนและมหาวิทยาลัยทั้งหมดได้รับความเสียหาย ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมถูกปิดกั้น ชาวกาซ่าต้องอพยพโดยที่ไม่มีพื้นที่ปลอดภัย มีการโจมตีรถพยาบาล โรงเรียนและโรงพยาบาลเป็นประจำ นี่เป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม” โดยเขายังกล่าวด้วยว่า “ไม่มีเหตุผลมากพอที่สหราชอาณาจักรจะต้องส่งอาวุธไปอิสราเอล แต่มันก็ยังดำเนินต่อไป”
นอกจากนี้เขาชี้ว่า การที่เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสถูกมองข้ามเช่นนี้ถือว่าเป็นปัญหามาก และมีเจ้าหน้าที่อาวุโสอีกหลายคนที่แสดงความกังวลในเรื่องนี้
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เครือจักรภพ และการพัฒนา (FCDO) แถลงว่า ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นในกรณีที่เป็นระดับบุคคลได้ แต่รัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ
รัฐบาลพรรคแรงงานได้ยื่นให้ทบทวนการขายอาวุธแก่อิสราเอล แต่ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดวิด แลมมี กล่าวว่ากระทรวงยังอนุญาตให้ขายอาวุธป้องกันตนเอง แต่จะตัดเส้นทางการใช้อาวุธที่จะถูกใช้ในกาซ่า เขากล่าวว่า นี่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่ซับซ้อน
อีเมลการลาออกของสมิธถูกเผยแพร่ในวงกว้าง รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐหลายร้อยคน เจ้าหน้าที่ทางการทูต รวมถึงที่ปรึกษาพิเศษของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศด้วย
สมิธอธิบายว่า ตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับนโยบายการขายอาวุธ หลังจากทำงานด้านการทูตมานาน เขาเขียนว่า รัฐมนตรีต่างๆ อ้างว่าสหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในประเทศที่ตรงไปตรงมาและโปร่งใสที่สุดของโลกในเรื่องการอนุญาตส่งอาวุธออกนอกประเทศ แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งกังวลว่ามีการกระทำผิดกฎหมายในแผนกนี้ การถูกละเลยเช่นนี้เป็นปัญหาอย่างยิ่ง “เป็นหน้าที่ของผมในฐานะข้าราชการที่ต้องหยิบยกประเด็นนี้มาพูด”
ฟรานเซสกา อัลบาเนส ผู้เสนอรายงานพิเศษปาเลสไตน์ชื่นชมการตัดสินใจของสมิธว่ากล้าหาญ และหวังว่าเจ้าหน้าที่ทางการทูตจะเข้าร่วมกับเขามากขึ้น
สหราชอาณาจักรต้องเผชิญกับการการตรวจสอบทางตุลาการต่อนโยบายขายอาวุธ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การตรวจสอบว่ากระทรวงการต่างประเทศกระทำผิดร้ายแรงในเรื่องที่ไม่สั่งห้ามขายอาวุธหรือไม่ ขณะที่อิสราเอลยืนยันว่าเป็นการป้องกันตนเอง และสามารถแยกระหว่างพลเรือนและกลุ่มฮามาสในกาซ่าได้
นับตั้งแต่ฮามาสโจมตีอิสราเอล เมื่อ 7 ตุลาคม 2566 มีผู้เสียชีวิตราว 1,200 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน อิสราเอลอ้างว่าสังหารสมาชิกกลุ่มฮามาสได้ 17,000 คนโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ระบุว่า มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 40,074 คน โดยไม่มีการแยกระหว่างทหารกับพลเรือน
ที่มา
Foreign Office official quits over UK refusal to ban arms exports to Israel
Foreign Office official resigns over Israel arms sales
https://www.bbc.com/news/articles/cyvpm1049d9o
British diplomat resigns saying UK may be complicit in war crimes over arms sales to Israel
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)