Skip to main content
sharethis

ศาลอาญา รัชดาฯ พิพากษายกฟ้อง “ชำนาญ-ปุณิกา” ถูกกล่าวหาเป็น “ชายชุดดำ” ก่อเหตุยิงต่อสู้กับทหารที่เข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในคืนวันที่ 10 เม.ย.53 แยกคอกวัว ศาลระบุพยานของฝ่ายโจทก์มีพิรุธให้การไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่เห็นหน้าผู้ก่อเหตุ

1 ต.ค.2567 ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาในคดี “ชายชุดดำ” ร่วมกันก่อเหตุยิงต่อสู้กับทหารที่เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ หรือ นปช. บริเวณ 4 แยกคอกวัวคืนวันที่ 10 เม.ย.2553

คดีนี้อัยการฟ้อง 2 คนได้แก่ ชำนาญ ภาคีฉาย หรือเล็ก จำเลยที่ 1 และ ปุณิกา ชูศรี หรืออร จำเลยที่ 2 ด้วยข้อหาข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวสรุปคำพิพากษาของศาลได้ว่าพยานของฝ่ายโจทก์หลายปากที่อ้างว่าอยู่ในที่เกิดมีพิรุธเช่นพยานตำรวจที่อ้างว่าเห็นจำเลยที่ 1 พร้อมกับอาวุธสงครามและเปิดหมวกที่คลุมใบหน้าไว้และแต่ไม่ถ่ายภาพอาวุธที่จำเลยกับพวกถือไว้อยู่เลยทั้งที่สามารถทำได้โดยง่าย และพยานบุคคลทั่วไปที่เคยให้การกับพนักงานสอบสวนไว้ตอนปี 2553 อ้างว่าเห็นกลุ่มผู้ก่อเหตุใส่หมวกปิดบังใบหน้ายืนประกอบอาวุธอยู่ในบริเวณใกล้จุดเกิดเหตุไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่เมื่อถูกพนักงานสอบสวนเรียกไปให้การอีก 2 ครั้งในปี 2560 และ 2561 กลับเบิกความว่ากลุ่มชายดังกล่าวได้ถอดหน้ากากออกศาลเห็นว่าพยานปากนี้ให้การขัดแย้งกัน

นอกจากนั้นพยานทหารอย่าง ชัยวัฒน์ ตะเพียรทองที่เบิกความว่าขณะที่หน่วยทหารในถนนตะนาวกำลังกลับถอนกำลังออกจากถนนตะนาวตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาตนเห็นรถตู้สีขาวขับฝ่าเข้ามาและผู้ก่อเหตุยังเปิดกระจกรถมาและถอดหมวกไอ้โม่งที่คลุมหน้าอยู่ออกและตะโกนด่าทหารนั้น ศาลก็ยังเห็นว่าในถนนเส้นนั้นมีหน่วยทหารที่กำลังถอนกำลังอยู่แต่ผู้ก่อเหตุยังขับรถเข้าไปทั้งที่เสี่ยงต่อการถูกจับกุมแล้วผู้ก่อเหตุที่ใส่หมวกไอ้โม่งปิดใบหน้าก็เพื่อปกปิดตัวตนจากบุคคลอื่นและเจ้าหน้าที่ทำให้คำให้การของพยานทหารปากนี้มีพิรุธเช่นกัน

พล.ท.ชิษณุพงศ์  รอดศิริ เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีเนื่องจาก พล.ต.วิจารณ์ จดแตง มาแจ้งกับตนเมื่อ 4 ส.ค.2558 ว่าจับผู้ก่อเหตุได้ เบิกความในฐานะอยู่ในเหตุการณ์แต่พบว่าขณะเกิดเหตุไม่ได้เห็นใบหน้าของคนร้ายเนื่องจากปิดบังใบหน้าและเมื่อพยานเห็นคนร้ายใช้อาวุธยิงแล้วก็หมอบลงด้วยพยานย่อมไม่เห็นตัวผู้ก่อเหตุจึงเชื่อว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้การอ้างอว่าเห็นจำเลยที่ 1 จึงไม่น่าเชื่อถือ

ส่วนพยานของโจทก์ร่วม รณฤทธิ์ สุวิชชา ที่เบิกความรายละเอียดเกี่ยวกับการก่อเหตุว่าได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมก่อเหตุการณ์ในคืนวันที่ 10 เม.ย.2553 และได้พบกับผู้ร่วมก่อเหตุคนอื่นๆ รวมถึงจำเลยในคดีนี้ก่อนเดินทางไปที่เกิดเหตุแล้วร่วมกันนำอาวุธไปใช้ยิงใส่ทหารในถนนตะนาวและขึ้นรถตู้หลบหนีและตนได้ให้การไว้หลังจากถูกจับกุมเมื่อ 8 ก.ย.2557 ขณะถูกควบคุมตัวอยู่ในกองพันทหารสื่อสารที่ 1 และต่อมาพยานได้ให้การไว้กับพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษไว้เมื่อปี 2560

แต่รณฤทธิ์ตอบคามทนายความจำเลยด้วยว่า หลังจากตนถูกคุมตัวในค่ายทหารและถูกย้ายไปคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพแล้วตนก็ได้ร้องขอความเป็นธรรมกับพนักงานสอบสวนพร้อมกับมีทนายความเข้ามาช่วยเหลือได้บอกกับทนายความว่าที่เคยให้การไว้กับทหารนั้นไม่เป็นความจริงและเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาก็ให้การปฏิเสธ  ศาลเห็นว่าคำให้การของพยานปากนี้ไม่อยู่กับร่องกับรอย

ดังนั้นจึงเหลือเพียงพล.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในเบิกความว่าหลังจากการประกาศใช้กฎอัยการศึกตนได้ใช้อำนาจดังกล่าวพาตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวนคือ กิตติศักดิ์ สุ่มศรี หรืออ้วน ปรีชา อยู่เย็น รณฤทธิ์ และชำนาญ จำเลยในคดีนี้และได้ทำบันทึกคำให้การรายละเอียดการก่อเหตุไว้ อย่างไรก็ตามศาลเห็นว่าพยานปากนี้เป็นเพียงพยานบอกเล่าเท่านั้นจึงห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226 (3)

ศาลจึงพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองคนเพราะเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาล้วนแต่มีพิรุธ และจำเลยทั้งสองคนในคดีก็ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทำความผิดตามคำฟ้อง

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ก่อนหน้าที่ทั้ง 2 คนจะถูกดำเนินคดีนี้ ชำนาญและปุณิกาเคยถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับพวกอีก 3 คน รวมเป็น 5 คนในคดีที่อัยการฟ้องข้อครอบครองอาวุธสงครามจากเหตุการณ์ชายชุดดำครั้งเดียวกันนี้ และ 1 ในจำเลยคดีข้อหาครอบครองอาวุธก็มีรณฤทธิ์พยานในคดีนี้รวมอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม คดีข้อหาครอบครองอาวุธส่วนของชำนาญ ปุณิกา และรณฤทธิ์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องไปก่อนแล้วเนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าทั้ง 3 คน เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 

ส่วนจำเลยอีก 2 คนคือกิตติศักดิ์ สุ่มศรี หรือ อ้วน และปรีชา อยู่เย็น หรือไก่เต้ย แม้ว่าในศาลชั้นต้นจะพิพากษาลงโทษแต่ในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษาเป็นยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าพยานสำคัญอย่าง ชัยวัฒน์ ตะเพียรทอง พยานทหารที่อ้างว่าตัวเองอยู่ในที่เกิดเหตุระบุว่าเห็นกิตติศักดิ์เป็นผู้ก่อเหตุเปิดกระจกรถตู้มาด่าทอตนทั้งที่ชัยวัฒน์เคยไปเบิกความในคดีไต่สวนการตายของฮิโรยูกิ มูราโมโต้ ช่างภาพญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในวันนั้นว่าไม่เห็นใบหน้าผู้ก่อเหตุเพราะผู้ก่อเหตุใส่หมวกไหมพรมไว้ ทำให้ศาลยกฟ้องพวกเขาในคดีครอบครองอาวุธเช่นเดียวกับจำเลยอีก 3 คน

นอกจากปุณิกาและชำนาญที่มีคดีข้อหาพยายามฆ่าตามมาเป็นคดีที่สองแล้ว ก่อนหน้านี้กิตติศักดิ์และปรีชาเองก็ถูกฟ้องด้วยข้อหาเดียวกันนี้มาก่อนแล้วเช่นกันด้วยพยานหลักฐานชุดเดียวกับที่ใช้ฟ้องปุณิกาและชำนาญ และศาลก็มีคำพิพากษายกฟ้องกิตติศักดิ์และปรีชาแล้ว

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

นอกจากคดีข้อหาพยายามฆ่าและคดีข้อหาครอบครองอาวุธแล้ว ธิติพงษ์ ศรีแสน ทนายความในคดียังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าขณะนี้ปุณิกาและชำนาญยังเหลือคดีข้อหาร่วมกันก่อการร้ายจากเหตุชายชุดดำอีกคดีที่ยังอยู่ระหว่างรออัยการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องต่อศาลหรือไม่

อย่างไรก็ตาม คดีข้อหาร่วมกันก่อการร้าย ก่อนหน้านี้กิตติศักดิ์และปรีชาที่ถูกฟ้องต่อศาลไปก่อนแล้ว ทนายความในคดีมีคำร้องต่อศาลขอให้พิจารณาในประเด็นทางกฎหมายว่าคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำที่จะต้องระงับการฟ้องเป็นคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 หรือไม่เนื่องจากมีการใช้พยานหลักฐานชุดเดียวกันในการฟ้อง ต่อมาศาลมีคำสั่งยุติการพิจารณาคดีนี้และให้นำออกจากสารบบของศาลเนื่องจากเห็นว่าเป็นการฟ้องซ้ำตามที่ทนายความขอให้ศาลพิจารณา

 

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net