'พีมูฟ' ตั้งแถวหน้าทำเนียบ เดินเท้าเข้ารายงานตัวคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ สน.นางเลิ้ง พร้อมอ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ชี้ เป็นกฎหมายปิดปาก ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน
1 มี.ค. 2565 iLaw รายงานว่าวันนี้ เวลา 08.00 น. ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือพีมูฟ นัดหมายรวมตัวกันที่หน้าสำนักงานสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) บริเวณ ถ.พิษณุโลก ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล เพื่อเดินเท้าไปรายงานตัวที่ สน.นางเลิ้ง ในคดีการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิบัติตามข้อตกลงที่เคยให้ไว้กับพีมูฟเมื่อเดือน ม.ค. 2565 ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา กลุ่มพีมูฟมารวมตัวชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พร้อมจัดเวทีเสวนาชี้ปัญหาที่เกิดการจากบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว โดยในวันนั้น กลุ่มพีมูฟประกาศว่าจะรวมตัวกันอีกครั้งในวันนี้ (1 มี.ค. 2565) ที่ สน. นางเลิ้ง เพื่อทวงถามความคืบหน้าตามข้อเรียกร้อง
สำหรับการชุมนุมในวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจปิด ถ.พิษณุโลก บริเวณแยกพาณิชยการ ฝั่งศาลกรมหลวงชุมพรฯ และบนสะพานชมัยมรุเชฐจนถึงแยกสวนมิสกวันตั้งแต่เวลา 07.40 น. ต่อมา เวลา 08.00 น. ผู้ชุมนุมเริ่มมารวมตัวกันตามนัดหมาย โดยตัวแทนผู้ชุมนุมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมไม่เคยกีดขวางหรือสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน แผงเหล็กและลวดหนามเป็นของรัฐไม่ใช่ของประชาชน สวนทางกับที่ตำรวจกล่าวหาผู้ชุมนุมว่ากีดขวางทางจราจร หลังจากนั้นแกนนำกลุ่มพีมูฟ นำโดยจำนงค์ หนูพันธ์ ประธานกลุ่มพีมูฟ นิธิป คงทอง ตัวแทนเครือข่ายสลัมสี่ภาค และพชร คำชำนาญ กองเลขานุการพีมูฟ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กลุ่มพีมูฟมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลโดยตรง และต้องการส่งเสียงให้ใกล้กับเป้าหมายมากที่สุด คือ ทำเนียบรัฐบาลแต่ไม่สามารถเคลื่อนขบวนผ่านไปที่ทำเนียบรัฐบาลได้ สถานที่ที่ใกล้ที่สุดคือบริเวณแยกพาณิชยการเท่านั้น
แกนนำกลุ่มพีมูฟกล่าวต่อไปว่านับตั้งแต่ปี 2563 ไทยอยู่ระหว่างการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ด้วยอ้างว่า 'ต้องการควบคุมโรคระบาด' แต่การบังคับใช้กฎหมายนี้ทำให้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ไม่ถูกบังคับใช้ รัฐขาดฐานกฎหมายในการห้ามชุมนุมสาธารณะในพื้นที่ต่างๆ และฉวยโอกาสสั่งห้ามชุมนุมอย่างต่อเนื่อง โดยยกการระบาดของโรคโควิด-19 มาเป็นข้ออ้าง โดยเฉพาะที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล เรามักเห็นแผงเหล็กและลวดหนามหีบเพลงจนกลายเป็นภาพชินตาประชาชนไปแล้ว นอกจากนี้ แกนนำยังกล่าวอีกว่าการปิดกั้นพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลไม่ให้เป็นพื้นที่แสดงออกของการชุมนุมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ยังไม่ใช่การปิดตาย คือเปิดให้เข้าไปได้บ้างในกรณีที่ไม่เกี่ยวข้องกับขบวนราษฎรหรือเป็นการชุมนุมขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปี 2565 เป็นต้นมา การชุมนุมแทบทุกรูปแบบที่มีเป้าหมายยังทำเนียบรัฐบาลไม่สามารถผ่านแนวสิ่งกีดขวางไปได้ แม้เป็นการชุมนุมเล็กๆ และใช้เวลาไม่นานก็ตาม

"การที่พี่น้องพีมูฟถูกดำเนินคดีในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ต่อไปนี้ประเด็นปากท้องและความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจก็จะถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งที่การชุมนุมเป็นสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ หนึ่งในผู้ถูกดำเนินคดีครั้งนี้เป็นเยาวชนด้วย" จำนงค์กล่าว พร้อมบอกว่าการออกหมายเรียกครั้งนี้เป็นการดำเนินคดีปิดปาก และต่อจากนี้ พีมูฟจะรณรงค์เพื่อให้ยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถเรียกร้องแสดงออกได้โดยไม่ต้องมีการดำเนินคดีเช่นนี้อีก นอกจากนี้ จำนงค์ยังย้ำว่าการแสดงออกของพวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง แต่ต้องการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมเท่านั้น ทั้งยังไม่ใช่คู่ขัดแย้งของตำรวจอีกด้วย
08.39 น. จำนงค์ ขอให้ตำรวจเปิดทางให้พีมูฟเดินเท้าไปที่ สน.นางเลิ้ง โดยจะเดินไปอย่างสงบ จนถึงวันนี้ตัวเขาเองยังไม่ได้หมายเรียกรายงานตัวแต่จำเป็นต้องมาเพราะมีรายชื่อ พร้อมกล่าวว่า "คนจนอย่างเราไม่ชอบที่สุดคือ การมีคดีความ ไปศาลและโรงพยาบาล แต่สถานการณ์ขณะนี้ทำให้พวกเขาต้องทีคดีความ"
อย่างไรก็ตาม ตำรวจยังไม่เปิดเส้นทาง จำนงค์จึงถามเหตุผลกับ พ.ต.อ.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ ผู้กำกับการ สน.นางเลิ้ง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ทั้งนี้ ผู้สังเกตการณ์การชุมนุมของไอลอว์รายงานเพิ่มเติมว่าตำรวจที่มาดูแลการชุมนุมพกปืนแทบทุกนาย
ต่อมา เวลา 08.45 น. ที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ พชร ในฐานะโฆษกกลุ่มพีมูฟกล่าวปราศรัยถึงการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาปิดปากประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหว และปิดกั้นการใช้สิทธิของประชาชน เขาระบุว่ากฎหมายนี้ใช้ปิดปากประชาชนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานรัฐบาล และขอยืนยันข้อเรียกร้องให้ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หลังจากนั้นเวลา 09.00 น. พ.ต.อ.สมยศ ได้มาตอบคำถามของแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทวงถามไปก่อนหน้านี้เรื่องการปิดถนน โดย พ.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ขณะนี้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีและมีการปิดถนน หากเดินผ่านจะเป็นภาพที่ไม่เรียบร้อย กรณีที่พี่น้องอยากเดินให้ใช้เส้นทางแยกนางเลิ้งเข้าสู่ ถ.นครสวรรค์ หรือหากจะนั่งรถไป ตำรวจจะนำรถไปส่งที่สน.นางเลิ้ง

09.19 น. ผู้ชุมนุมตั้งขบวนเดินที่สะพานชมัยมรุเชฐ หันหลังให้แนวรั้วกั้น หันหน้าไปทางแยกนางเลิ้ง เตรียมเดินไปสน.นางเลิ้ง หลังจากนั้น ผู้สังเกตการณ์ของไอลอว์รายงานว่าตำรวจนอกเครื่องแบบมาเปิดแนวรั้วกั้นที่แยกพาณิชยการเพื่อเปิดทางให้ผู้ชุมนุมเดินไป สน.นางเลิ้งเพื่อรายงานตัวตามหมายเรียก โดยมีผู้ชุมนุมกลุ่มพีมูฟทั้งหมด 16 คนที่ได้รับหมายเรียกข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการชุมนุมเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา และหนึ่งในนั้นเป็นเยาวชน

09.30 น. ขบวนผู้ชุมนุมเริ่มออกเดินทางไปยัง สน.นางเลิ้ง โดยใช้เส้นทาง ถ.พิษณุโลกมุ่งหน้าแยกนางเลิ้ง เลี้ยวขวาเข้า ถ.นครสวรรค์ผ่านแยกเทวกรรมเข้าสู่ ถ.กรุงเกษม มุ่งหน้าสะพานมัฆวานรังสรรค์ และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ถ.ราชดำเนินนอก ผ่านหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งมีม็อบเกษตรกรปักหลักชุมนุมอยู่ และผ่านหน้ากระทรวงคมนาคมซึ่งมีม็อบเครือข่ายชุมชนผู้ได้รับผลกระทบจากการรถไฟปักหลักชุมนุมอยู่เช่นเดียวกัน โดยระหว่างนั้นมีผู้ชุมนุมที่ปักหลักอยู่ยืนให้กำลังใจเป็นระยะ
กระทั่งเวลา 10.20 น. ผู้ชุมนุมกลุ่มพีมูฟเดินทางมาถึง สน.นางเลิ้ง แกนนำกลุ่มได้อ่านแถลงการณ์ยืนยันว่าการลุกขึ้นมาส่งเสียง การลุกขึ้นมาใช้สิทธิปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนและเรียกร้องสิทธิที่ประชาชนพึงมีนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาระหว่างประเทศ แม้วันนี้พวกเราจะถูกกระทำ แต่ก็จะขอลุกขึ้นสู้ จนกว่าสิทธิในการกำหนดชีวิตของประชาชน จะเป็นของประชาชนโดยแท้จริง หลังจากนั้น ผู้ที่ได้รับหมายเรียกทั้ง 16 คนได้เดินเข้าไปรายงานตัวด้านใน สน.
แถลงการณ์ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ)
พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่าน พวกเราขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ เดินทางมายังสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งวันนี้เพื่อรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน ที่กล่าวหาว่าการเคลื่อนไหวเพื่อทวงสิทธิในความเป็นคนของเราเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ที่ผ่านมาพีมูฟได้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิอันพึงมี ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ พวกเราถูกกระทำผ่านกฎหมายและนโยบายของภาครัฐที่ทิ้งเราไว้ข้างหลัง กดทับ ละเมิดสิทธิของพวกเราที่เป็นคนจนเมือง กลุ่มคนไร้บ้าน ประชาชนในเขตป่า และกลุ่มชาติพันธุ์ สิ่งที่พวกเราทำได้จึงมีเพียงการลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมเท่านั้น เพราะหากไม่สู้ เราคงถูกกดทับไปชั่วลูกชั่วหลาน ไม่มีทางได้ลืมตาอ้าปากและปลดพันธนาการทางชนชั้นได้
ราคาที่เราต้องจ่ายจากการออกมาเรียกร้องสิทธิ คือการถูกแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ” จำนวน 2 หมาย รวมทั้งสิ้น 16 คน ที่ประกอบด้วยพวกเราชาวบ้านพีมูฟ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพีมูฟ พวกเราเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้สะท้อนภาพบ้านเมืองของเราที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นการใช้กฎหมายปิดปากประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม วันนี้เราต้องเดินทางมาจากต่างที่ต่างถิ่น บางคนต้องเดินทางอย่างยากลำบาก ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด รัฐบาลและตำรวจไม่สมควรกระทำกับเราเช่นนี้ เราจึงขอประกาศย้ำข้อเรียกร้องเดิมของเรา คือการต้องเร่งยุติกระบวนการทางกฎหมายกับพวกเราทั้ง 16 คน รวมถึงต้องยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยเร็วที่สุด
พวกเรายืนยันว่า การลุกขึ้นมาส่งเสียง การลุกขึ้นมาใช้สิทธิปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนและเรียกร้องสิทธิที่ประชาชนพึงมีนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาระหว่างประเทศ แม้วันนี้พวกเราจะถูกกระทำ แต่ก็จะขอลุกขึ้นสู้ จนกว่าสิทธิในการกำหนดชีวิตของประชาชน จะเป็นของประชาชนโดยแท้จริง
พีมูฟทวงสิทธิ สร้างอำนาจกำหนดชีวิตประชาชน
1 มีนาคม 2565
ณ สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง