'เพื่อไทย' อัด 'ประยุทธ์' เมินทุกข์ชาวสวนลำไย ราคาดิ่งเหวรอบ 30 ปี - นายกฯ ปลื้มส่งออกผลไม้ไปจีนทุบสถิติ 1.16 ล้านตัน

  • ส.ส.เหนือเพื่อไทย สุดทน ประยุทธ์เมินทุกข์ชาวสวนลำไย กดให้จนแล้วบดขยี้จนสิ้นอาชีพ ทำราคาดิ่งเหวในรอบ 30 ปี 
  • ด้าน นายกฯ ปลื้มส่งเสริมการค้าเห็นผลสำเร็จ ภาคการส่งออกครึ่งปีแรกโต 12.7% ด้านผลไม้ไทยส่งออกจีนทุบสถิติ 1.16 ล้านตัน ทำรายได้ 9.2 หมื่นล้านบาท
  • คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย จี้ 'นายกฯ' อย่าสับสนเรื่องการท่องเที่ยว ชี้ นักท่องเที่ยวควรเข้ามากกว่านี้ หลายประเทศนักท่องเที่ยวล้น แนะ เร่งส่งเสริมเพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยว และ ต้องประกาศยกเลิกค่าเหยียบแผ่นดินอย่างเป็นทางการ

 

29 ก.ค.2565 ทีมสื่อพรรคเพื่อไทยรายงานต่อสื่อมวลชนว่า วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส. พะเยา และประธานคณะทำงานด้านการเกษตรพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ส.ส. ภาคเหนือพรรคเพื่อไทยในหลายจังหวัดเรียกร้องให้รัฐบาลใส่ใจความทุกข์ร้อนชาวสวนลำไยภาคเหนือเพราะขณะนี้ราคาลำไยดิ่งเหว ต่ำสุดในรอบ 30 ปี สวนทางราคาสินค้าเกษตรโลกพุ่งสูง แต่สินค้าเกษตรไทยราคาตกต่ำ อนุญาตปุ๋ยขึ้นราคาซ้ำเติมเกษตรกร ถามความล้มเหลวนี้ เพราะรัฐบาลไร้น้ำยา มีของแล้วขายไม่เป็น หรือเพราะห่วงแต่พวกพ้อง จะแก้กติกาเลือกตั้งให้เข้าข้างฝ่ายตนเอง หวังเข้าสภา แต่ไม่คิดแก้ปัญหาประชาชน

วิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลประยุทธ์ทำลายหัวใจเศรษฐกิจภาคเหนือทั้ง 2 ส่วนลงอย่างย่อยยับ ทั้งภาคการท่องเที่ยวบริหาร และภาคเกษตรกรรม ซึ่งในภาคเกษตรกรรมนั้น ทราบหรือไม่ว่าลำไยก็เป็นพืชเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยเป็นผู้ผลิตลำไยอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน มีผลผลิตปีละกว่า 1 ล้านตัน และเราเป็นประเทศที่มีการส่งออกลำไยรายใหญ่ที่สุดของโลก ทั้งในรูปผลสด แช่แข็ง และอบแห้ง โดยพื้นที่ปลูกลำไยทั้งประเทศ 1.7 ล้านไร่ อยู่ในภาคเหนือ 1.3 ล้านไร่ สร้างเม็ดเงินให้ประเทศปีละเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งตลอดหลายปี หลายเดือนที่ผ่านมา ฝ่ายค้านยื่นกระทู้สด สอบถาม หอบลำไยเข้าสภาแถลงข่าวประท้วง ทำทุกวิธีการ เพื่อส่งสัญญาณถึงรัฐบาลให้เตรียมการรับมือปัญหาลำไยล่วงหน้า แต่สำหรับปีนี้ จนกระทั่งวันนี้ ยังไม่ได้ยินรัฐบาลพูดถึงเรื่องลำไยเลยสักครั้ง 

สิ่งที่ชาวสวนลำไยเผชิญอยู่ตอนนี้มี 3 เรื่องคือ 1) ราคาลำไยตกต่ำ ขณะนี้กลางฤดู ลำไยเกรด AA จากที่เคยขายได้ 28 บาท วันนี้เหลือแค่ 10-12 บาท ไม่พอค่าแรงเก็บเกี่ยว และน่าเป็นห่วงปลายฤดูกาลราคาจะยิ่งต่ำกว่านี้  2) ราคาปุ๋ย แพงขึ้นเท่าตัว ซึ่งหมายความว่าชาวสวนลำไยไม่ใช่ขายได้เท่าทุนหรือขาดทุนนิดหน่อย แต่เป็นการขาย ‘ขาดทุน’ ต้นทุนไปกว่าครึ่ง เป็นหนี้สินพอกพูน และ 3) ถูกรัฐบาล ‘โกหก’ ไม่จ่ายค่าชดเชยไร่ละ 2,000 บาท เรื่องนี้ผ่านมาแล้ว 1 ปี ชาวสวนลำไยยังไม่ได้รับเงินชดเชยแบบที่รัฐบาลสัญญาไว้ และยังไม่รู้ว่าจะได้รับการดูแลเหมือนพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นหรือไม่ อยากได้ยินรัฐบาลพูดบ้างว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไร

“รัฐบาลประยุทธ์ คิดแต่จะแก้บัตรสองใบเป็นหนึ่งใบ เดี๋ยวห้าร้อยเดี๋ยวหนึ่งร้อย เวลานี้ขอให้คิดเรื่องปากท้องประชาชน ใส่ใจปัญหาชาวสวนลำไยดีกว่าหรือไม่ หากหวังจะเข้าสภา ก็ต้องสู้กันด้วยการแก้ปัญหาประชาชน โลกกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตอาหารและเศรษฐกิจ ราคาสินค้าเกษตรขายได้ราคาสูงอย่างน้อย 20% แต่ทำไมสินค้าเกษตรไทยกลับตกต่ำ ปุ๋ยแพงอ้างว่าแพงทั้งโลก แต่สินค้าเกษตรราคาสูง ทำไมเราราคาไม่สูงด้วย รัฐบาลออกมาประกาศตัวภูมิใจควบคุมราคาสินค้าในประเทศไม่ให้ขึ้นราคาได้ ยกเว้น ยอมให้ปุ๋ยขึ้นราคา ท่านกำลังช่วยเหลือใครกันแน่? นี่คือความเหลื่อมล้ำจากกลไกการจัดการของรัฐบาล เลือกที่จะไม่ใส่ใจ กดให้จนแล้วบดขยี้ บีบให้เกษตรทั้งประเทศ ให้ชาวสวนลำไยภาคเหนือสิ้นอาชีพ เช่นนั้นใช่หรือไม่” ประธานคณะทำงานด้านการเกษตรพรรคเพื่อไทย กล่าว

 

นายกฯ ปลื้มส่งเสริมการค้าเห็นผลสำเร็จ ภาคการส่งออกครึ่งปีแรกโต 12.7% ด้านผลไม้ไทยส่งออกจีนทุบสถิติ 1.16 ล้านตัน ทำรายได้ 9.2 หมื่นล้านบาท

ขณะที่วานนี้ (28 ก.ค.) เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดี และขอบคุณที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้เกิดพัฒนาการของภาคการส่งออกที่มีการขยายตัวในเชิงบวก พัฒนาขีดความสามารถด้านการส่งออกสินค้าของไทยอย่างมีประสิทธิภาพจนเกิดเป็นรูปธรรม และเห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรมที่ผลไม้ไทยส่งออกจีนมากกว่า 1.16 ล้านตัน 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่านายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและควบคุม สั่งการนโยบายภาคการส่งออกของไทย จนมีพัฒนาการเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์พบว่า ตัวเลขในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2565) การส่งออกไทยมีมูลค่า 149,184.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 12.7% เกินจากเป้าหมายการส่งออกทั้งปีที่ตั้งไว้ว่าจะขยายตัวที่ 4-5% ไปแล้ว 3 เท่า โดยการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของการส่งออกในเดือน มิ.ย.นี้ ซึ่งมีมูลค่า 26,553.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
 
โดยสินค้าเกษตรเดือนมิถุนายนเพิ่ม 21.7% มูลค่า 94,511 ล้านบาท ซึ่งสินค้าที่ขยายตัวสูงคือ ข้าว ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง อาทิ ลำไยแห้ง เงาะสด ทุเรียนสด รวมทั้งไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง และไก่แปรรูป ที่ในเดือน มิถุนายน เพิ่ม 20.1% และใน 6 เดือนแรกเพิ่ม 8.3% ด้านยางพาราเดือนมิถุนายนเพิ่ม 16.1% มูลค่า 15,669 ล้านบาท และในหกเดือนแรกเพิ่มขึ้น 4.7% มูลค่า 94,640 ล้านบาท
 
ด้านสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร นับได้ว่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 16 เดือน โดยเดือนมิถุนายนเพิ่ม28.3% มูลค่า 75,160 ล้านบาท ส่วนหกเดือนแรกเพิ่ม 27.9% มูลค่า 398,023 ล้านบาท สินค้าสำคัญ คือน้ำตาลทรายที่หกเดือนแรกเพิ่ม 138.8% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ที่เดือนมิถุนายนเพิ่ม15.3% และหกเดือนแรกเพิ่ม 11.7% เป็นมูลค่า 62,890 ล้านบาท นอกจากนี้ สินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องคือ อาหารสัตว์เลี้ยง ที่นับได้ว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมา 34 เดือน ซึ่งในเดือนมิถุนายนเพิ่ม 13.6% และหกเดือนแรกเพิ่ม 23.2% เป็นมูลค่า 49,184 ล้านบาท
 
สำหรับการส่งออกผลไม้ไทย โดยเฉพาะการส่งออกไปยังจีน ยังได้ทำสถิติยอดการส่งออกมากกว่าหนึ่งล้านตัน โดยกรมวิชาการเกษตรได้เปิดเผยว่า ยอดส่งออกผลไม้สดไทยไปจีนช่วงครึ่งปีแรก ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 21 กรกฎาคม 2565 มีมากถึง 64,903 ชิปเมนต์ ปริมาณ 1.16 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 9.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งทุเรียนไทยส่งออกแล้วกว่า 6.7 แสนตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 7.2 หมื่นล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นในคุณภาพการผลิต รสชาติ และราคาของสินค้าเกษตรไทยต่อผู้บริโภคชาวจีน อีกทั้งภายหลังการเปิดตัวระบบใบรับรองสุขอนามัยพืชอิเล็กทรอนิกส์ “e-Phyto” ของกรมวิชาการเกษตร พบว่า สามารถช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการส่งออกผลไม้สดไทยไปจีนได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ สถานการณ์การส่งออกผลไม้ไทยไปจีนในปัจจุบัน มียอดการส่งออกทางเรือเป็นอันดับ 1 ด้วยปริมาณ 7.06 แสนตัน ทางบกเป็นอันดับ 2 ด้วยปริมาณ 4.2 แสนตัน และทางอากาศเป็นอันดับ 3 ด้วยปริมาณ 3.2 หมื่นตัน จากผลไม้สดไทย อาทิ ทุเรียน มะพร้าวอ่อน มังคุด ลำไย เงาะ และส้มโอ เป็นต้น

จี้ 'ประยุทธ์' อย่าสับสนเรื่องการท่องเที่ยว ชี้ นักท่องเที่ยวควรเข้ามากกว่านี้ หลายประเทศนักท่องเที่ยวล้น แนะ เร่งส่งเสริมเพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยว และ ต้องประกาศยกเลิกค่าเหยียบแผ่นดินอย่างเป็นทางการ 

วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เชียงราย เขตอำเภอพาน และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่พรรคเพื่อไทย โดย จักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการพรรค ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องการท่องเที่ยว แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กลับตอบสับสนและยังเข้าใจผิดคิดไปเองว่าบริหารการท่องเที่ยวได้ดี ทั้งที่ล้มเหลว ภูมิใจกับตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ยังต่ำมาก โดยการท่องเที่ยวของประเทศไทยน่าจะต้องฟื้นมากกว่านี้ เห็นได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศสิงคโปร์และประเทศในยุโรปที่นักท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างชัดเจน โรงแรมถูกจองเต็มกันหมด ในขณะที่โรงแรมในประเทศไทยยังมีห้องว่างมาก ขนาดนายกสมาคมการท่องเที่ยวยังบ่นและเรียกร้องให้รัฐบาลต้องทำงานส่งเสริมการท่องเที่ยวหนักกว่านี้

ทั้งนี้ หากมองย้อนหลังจะพบว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินนโยบายท่องเที่ยวแบบสับสน  ช่วงต้นปี 63 ขณะที่ท่องเที่ยวยังไม่แย่ รัฐบาลเสนอให้แจกเงินนักท่องเที่ยวต่างประเทศในโครงการ “ชิมช้อปใช้ อินเตอร์” เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ถูกประชาชนและสื่อมวลชนตำหนิกันมาก จนต้องล้มเลิกไป พอมาปี 2565 หลังจากวิกฤตการณ์โควิด การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวดีนักนักท่องเที่ยวยังน้อย แต่รัฐบาลกลับมีแนวคิดย้อนแย้งที่จะเก็บค่าเหยียบแผ่นดินกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศคนละ 300 บาท และก็ถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากประชาชนและจากสื่อมวลชน จึงต้องเลื่อนมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่ยกเลิก ในขณะเดียวกัน รัฐบาลเพิ่งออกมาตรการให้คนไทยไปเที่ยวและสามารถนำมาหักภาษีได้ ซึ่งสับสนมาก แล้วจะไปคิดค่าเหยียบแผ่นดินทำไม พอถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องการเก็บเหยียบแผ่นดินนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ปฏิเสธว่าไม่เก็บแน่ ซึ่งหากจริงก็น่าจะต้องประกาศยกเลิกอย่างเป็นทางการไปเลย ไม่ใช่ยังปล่อยให้สับสนแบบนี้อยู่ 

หากพล.อ.ประยุทธ์ เชื่อและทำตามคำแนะนำของคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยแต่แรก นักท่องเที่ยวต่างประเทศน่าจะเข้ามามากกว่านี้แล้ว และเศรษฐกิจไทยก็จะฟื้นตัวมากกว่านี้ เพราะการท่องเที่ยวจะเป็นการฟื้นเศรษฐกิจที่เร็วและได้ผลมากสุด อีกทั้งยังทำให้เกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง แต่ทั้งนี้ตอนนี้ก็ไม่สาย อยากให้พลเอกประยุทธ์ เร่งทำการตลาดการท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามามากขึ้น และเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีหนี้สินเพิ่มขึ้นมากจากภาวะวิกฤตโควิด และต้องไม่ออกมาตรการอะไรที่ไม่ฉลาดและอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องเร่งฟื้นการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท