Skip to main content
sharethis

ข้อมูลจาก Stateline เผยรัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ เริ่มประกาศให้ 'บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน' (EMS) เป็น 'บริการที่จำเป็น' ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐต่างๆ ไม่จำเป็นต้องจัดหาหรือให้เงินทุนแก่บริการดังกล่าว 


ที่มาภาพ: Rural Health Information Hub

ในสหรัฐอเมริกา เมื่อเผชิญเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ ใครก็ตามที่โทรหา 911 พวกเขาต่างคาดหวังว่าจะมีรถพยาบาลมารับพวกเขา

แต่บางครั้งกลับไม่มีเลย

ก่อนหน้านี้ รัฐส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ไม่ได้ประกาศให้ 'บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน' (EMS) เป็น 'บริการที่จำเป็น' ซึ่งหมายความว่ารัฐต่างๆ ไม่จำเป็นต้องจัดหาหรือให้เงินทุนแก่บริการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ มีรัฐจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ตระหนักถึงบริการรถพยาบาลว่าเป็นสิ่งจำเป็น ความเคลื่อนไหวนี้เป็นสิ่งที่รอคอยมานานสำหรับหน่วยงาน EMS และผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ พวกเขาหวังว่าจะเห็นรัฐต่างๆ ทยอยดำเนินการเช่นเดียวกันจนครบทุกรัฐ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าแรงผลักดันนี้ได้รับแรงผลักดันจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 การลดลงของอาสาสมัคร และการขาดแคลนบริการด้านสุขภาพในชนบท

ผู้เชี่ยวชาญด้าน EMS สนับสนุนให้มีการกำหนดความจำเป็นและเงินสนับสนุนที่ยั่งยืนมากขึ้น “นานกว่าที่ผมเคยเห็น – นานมากกว่าที่ผมเคยเป็นเจ้าหน้าที่กู้ชีพ” มาร์ค แมคคัลลอค (Mark McCulloch) วัย 42 ปี รองหัวหน้าฝ่ายบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินของเวสต์ ดิมอยน์ กล่าว เขาเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มานานกว่าสองทศวรรษ

ณ เดือน ก.ย. 2023 มีรัฐอย่างน้อย 13 รัฐ ได้ผ่านกฎหมายที่กำหนดหรืออนุญาตให้ท้องถิ่นถือว่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินมีความจำเป็น รัฐเหล่านี้รวมถึงคอนเนตทิคัต ฮาวาย อินเดียนา ไอโอวา ลุยเซียนา เมน เนบราสกา เนวาดา ออริกอน เพนซิลเวเนีย เซาท์แคโรไลนา เวอร์จิเนีย และเวสต์เวอร์จิเนีย

และอีกอย่างน้อย 2 รัฐ ได้แก่ แมสซาชูเซตส์และนิวยอร์ก กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณากฎหมาย

ไอดาโฮ ผ่านมติเมื่อเดือน มี.ค. 2023 กำหนดให้หน่วยงานด้านสุขภาพของรัฐต้องร่างกฎหมายนี้สำหรับการประชุมสภานิติบัญญัติในปีหน้า

ในขณะเดียวกัน สภานิติบัญญัติแห่งรัฐไวโอมิง กลับปฏิเสธร่างกฎหมายที่ถือว่า EMS เป็นสิ่งจำเป็น ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น

กลุ่มอื่นๆ เช่น สถาบันการบริหารราชการแห่งชาติ และสำนักงานนโยบายและการวิเคราะห์กฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งรัฐเมน พบว่าแคลิฟอร์เนีย โคโลราโด และนอร์ธแคโรไลนา เป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีกฎเกณฑ์เกี่ยวข้องกับบริการการแพทย์ฉุกเฉินด้วย

“รัฐมีอำนาจในการพิจารณาว่าบริการใดบ้างที่จำเป็นและจำเป็นต่อพลเมืองทุกคน” เคลซี จอร์จ (Kelsie George) ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายด้านสุขภาพ กล่าว

ในบรรดารัฐที่ถือว่า EMS เป็นบริการที่จำเป็น กฎหมายต่างๆ แตกต่างกันไปเป็นอย่างมากในด้านการจัดหาเงินทุน พวกเขาอาจจัดหาเงินให้กับบริการ EMS โดยกำหนดเงินอุตหนุนขั้นต่ำสำหรับหน่วยงาน หรือให้คำแนะนำในการจัดการและชำระค่าบริการ EMS ในระดับท้องถิ่น จอร์จกล่าว

การขาดบริการ EMS เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในชนบทของอเมริกา โดยหน่วยงาน EMS และโรงพยาบาลในชนบทยังคงทยอยปิดให้บริการในอัตราสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งหมายถึงในการช่วยชีวิตคน ต้องใช้การเดินทางระยะทางไกลมากขึ้น

“ความจริงที่ว่าผู้คนคาดหวังสิ่งนี้ แต่มันกลับไม่ได้รับการระบุว่าเป็นบริการที่จำเป็นในหลายรัฐ และไม่ได้รับการสนับสนุน ถือเป็นจุดที่ความไม่ลงรอยกันเกิดขึ้น” เบรนเดน เฮย์เดน (Brenden Hayden) เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน รวมทั้งยังเป็นประธานสภาที่ปรึกษาระบบ EMS แห่งชาติ กล่าว

การสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติม


ที่มาภาพ: Shenandoah Medical Center

ไม่มีหน่วยงานของรัฐบาลกลางเพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ที่ทุ่มเทให้กับการดูแลหรือให้ทุนสนับสนุน EMS มีหน่วยงานหลายแห่งที่จัดการกฎระเบียบที่แตกต่างกัน รวมทั้งเงินของรัฐบาลกลางบางส่วนในรูปแบบของเงินช่วยเหลือและกองทุนความปลอดภัยบนทางหลวง จากกระทรวงคมนาคม ส่วนประกันสุขภาพ Medicaid และ Medicare ก็จ่ายคืนเงินบางส่วนเท่านั้น ซึ่งผู้สนับสนุน EMS มองว่ายังไม่เพียงพอ

“สิ่งที่เกิดขึ้นบังคับให้ต้องตั้งคำถามกับรัฐ เนื่องจากไม่ได้เป็นอำนาจของรัฐบาลกลาง” เดีย ไกนอร์ (Dia Gainor) กรรมการบริหารของสมาคมเจ้าหน้าที่ EMS แห่งชาติและอดีตผู้อำนวยการ EMS ของรัฐไอดาโฮ กล่าว “เป็นสิทธิพิเศษของรัฐในการตัดสินใจเลือก” ในการมอบอำนาจและให้เงินทุนแก่ EMS

ในรัฐที่ไม่มีงบประมาณ หน่วยงาน EMS มักจะต้องพึ่งพาการจ่ายเงินคืนของ Medicaid และ Medicare รวมทั้งเงินที่ได้การสนับสนุนจากท้องท้องถิ่น

หลายแห่งไม่มีงบประมาณที่จะจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ส่งผลให้ชุมชนที่ยากจนหันไปพึ่งพิงอาสาสมัคร แต่จำนวนอาสาสมัครนักดับเพลิงและ EMS กำลังหดตัวลงทั่วประเทศ เนื่องจากจำนวนอาสาสมัครมีอายุมากขึ้น และคนหนุ่มสาวทำงานอาสาสมัครน้อยลง

ค่าใช้จ่ายสำหรับหน่วยงาน EMS มีราคาแพง: รถพยาบาลขั้นพื้นฐานคันใหม่อาจมีราคา 200,000-300,000 เหรียญสหรัฐฯ จากนั้นมีค่ายาและอุปกรณ์ ตลอดจนค่าจ้างเจ้าหน้าที่ และระยะทางขับรถไปยังศูนย์การแพทย์ในพื้นที่ชนบท

ในทางตรงกันข้าม หน่วยงานตำรวจได้รับการสนับสนุนและรับเงินทุนจากรัฐบาลกลางโดยกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยเงินภาษีท้องถิ่น ส่วนแผนกดับเพลิงได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานดับเพลิงของสหรัฐอเมริกา แม้ว่าพื้นที่ที่ด้อยโอกาสหลายแห่งยังต้องพึ่งพานักผจญเพลิงอาสาสมัคร

“เราต้องการมากกว่านี้หากเราจะกอบกู้อุตสาหกรรมนี้ และ [หาก] เราจะพร้อมสำหรับการรักษาผู้ป่วย” เฮย์เดน กล่าว “สถานการณ์ของ EMS โดยทั่วไปแสดงถึงข้อผิดพลาดในการปัดเศษในงบประมาณของรัฐบาลกลาง”

ยิ่งไปกว่านั้น การคืนเงินจากระบบประกันสุขภาพจะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยถูกนำตัวส่งห้องฉุกเฉินเท่านั้น หน่วยงาน EMS อาจไม่ได้รับค่าชดเชยหากพวกเขารักษาผู้ป่วยได้โดยไม่ต้องส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล

แกรี วินโกรฟ (Gary Wingrove) ประธาน Paramedic Foundation ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุน EMS ได้ร่วมเขียนรายงานการศึกษาเกี่ยวกับการขาดบริการรถพยาบาลและค่ารถพยาบาลในพื้นที่ชนบท อดีตผู้อำนวยการ EMS รัฐมินนิโซตา แย้งว่าควรปรับการเบิกจ่ายตามต้นทุน เช่น ศูนย์การแพทย์ที่เข้าถึงได้ง่ายซึ่งให้บริการผู้ป่วยที่ไม่มีประกันสุขภาพ และชุมชนที่ขาดแคลนทรัพยากร

วิกฤตในชนบท


ที่มาภาพ: InciWeb.gov

ผลการศึกษาระดับชาติเมื่อเร็วๆ นี้โดยศูนย์วิจัยสุขภาพชนบทของรัฐเมนและศูนย์วิจัยและนโยบายสุขภาพในชนบท ระบุว่าผู้คนประมาณ 4.5 ล้านคนทั่วสหรัฐฯ อาศัยอยู่ใน 'พื้นที่ขาดแคลนรถพยาบาล' และมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยในเขตชนบท โดยคำจำกัดความของ 'พื้นที่ขาดแคลนรถพยาบาล' คือชุมชนที่อยู่ห่างจากสถานีรถพยาบาล 25 นาทีขึ้นไป

นักวิจัยระบุว่าบางภูมิภาคด้อยโอกาสกว่าที่อื่นๆ จากการศึกษา 41 รัฐ โดยใช้ข้อมูลจากปี 2021-2022 พบว่ารัฐต่างๆ ในภาคใต้และตะวันตกมีผู้อยู่อาศัยในชนบทมากที่สุดที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ขาดแคลนรถพยาบาล

ในเซาท์ดาโคตา เขตสงวน Rosebud Sioux ครอบคลุมพื้นที่ 1,900 ตารางไมล์ทางตอนใต้ตอนกลางของรัฐ

อีริค เอเมรี (Eric Emery) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐเซาท์ดาโคตา จากพรรคเดโมแครต เขาเป็นแพทย์และผู้อำนวยการ EMS ของสถานีรถพยาบาลแห่งเดียวของชนเผ่า ซึ่งให้บริการผู้อยู่อาศัย 11,400 คน

เอเมรีและเพื่อนร่วมงานให้บริการช่วยเหลือผู้ป่วย ตั้งแต่อาการหัวใจวายไปจนถึงการกินยาเกินขนาด พวกเขายังให้ความใส่ใจด้วยว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตสงวนจะไปพบแพทย์ได้ หากไม่ได้ใช้เวลาทั้งวันในการเดินทางไปที่นั้น บริการเหล่านั้นอาจรวมถึงการวัดความดันโลหิต ตรวจสัญญาณชีพ หรือตรวจให้แน่ใจว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานยาอย่างถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม เซาท์ดาโคตาเป็นหนึ่งใน 37 รัฐที่ไม่ได้กำหนดให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินมีความจำเป็น ดังนั้นรัฐจึงไม่จำเป็นต้องจัดหาหรือให้เงินทุนสนับสนุน

แม้ว่าเขาและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ จะได้รับค่าจ้าง แต่ในพื้นที่ห่างไกลมักจะให้บริการโดยอาสาสมัครประจำท้องถิ่นของตน ทีมงานของเอเมรี่ใช้เวลานานเกินไป — ถึงหนึ่งชั่วโมง — ซึ่งมักไม่ทันการ

“สิ่งที่ผมต้องการจัดการในปีนี้ คือการทำให้ EMS เป็นบริการที่จำเป็นในเซาท์ดาโคตา” เอเมรี กล่าว “แต่การมาจากรัฐอนุรักษ์นิยม ที่อนุรักษ์นิยมมากเมื่อพูดถึงเรื่องกระเป๋าเงินของพวกเขา ผมรู้ว่านั่นอาจเป็นเนินเขาที่ยากต่อการปีนขึ้นไป”

ท้ายที่สุด วินโกรฟกล่าวว่า จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับอาชีพที่ต้องอาศัยอาสาสมัครเพื่อเติมเต็มช่องว่างด้านเงินทุนและบุคลากรนี้ “เรากำลังมองหาอาสาสมัคร เพื่อให้ตัดสินใจว่าคุณจะอยู่หรือตาย” เขากล่าว

“อย่างไรก็ตาม เราวางตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่คนตัดสินใจเหล่านั้นจริงๆ ไม่ได้รับคุณค่าในแบบที่พวกเขาควรจะได้รับ” เขากล่าว “พวกเขาไม่ได้ถูกให้คุณค่า ผ่านงบประมาณเมือง งบประมาณเขต งบประมาณของรัฐ ระบบงบประมาณของรัฐบาลกลาง พวกเขาไม่มีคุณค่าเลย”


ที่มา:
You might need an ambulance, but your state might not see it as ‘essential’ (Nada Hassanein, Stateline, 11 September 2023)


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net