Skip to main content
sharethis

รัฐบาลเดินหน้าแนวทางนำผู้เสพยาเสพติดที่ศาลสั่งคุมประพฤติ 1 แสนคน เข้าสู่กระบวนการบําบัด สธ.เตรียมนำแพทย์-สาธารณสุขเข้าแก้ไขปัญหาผู้เสพ ที่ยังอยู่ในชุมชนอย่างเร่งด่วนภายใน 90 วัน - รทสช. หนุนแนวทาง 'รัฐบาล-สมศักดิ์' ผุดนโยบาย '1 ผู้เสพขยายผล 1 ผู้ขาย ตามยึดทรัพย์ 1 ผู้ผลิต'


แฟ้มภาพสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 

เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2567 ว่านายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ โดยในส่วนของการบำบัดผู้เสพยาเสพติดที่นายกรัฐมนตรีกําชับให้ดูแลอย่างครบถ้วนนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่18 พ.ค. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและผู้เกี่ยวข้อง ได้ร่วมประชุมหารือแนวทางการจัดการผู้เสพยาเสพติดจำนวน 1 แสนคนที่ศาลสั่งคุมประพฤติ ตามเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายยาเสพติด แต่ไม่ได้มีการบอกให้เข้าสู่กระบวนการบําบัด ซึ่งเป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ตอนนี้ในระยะเวลา 3 - 4 ปีที่ผ่านมา หากไม่บําบัดรักษาอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้  

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุมวันนี้ได้หารือร่วมกันโดยมีข้อสรุปว่าจะนําผู้เสพยาเสพติดทั้ง 1 แสนคน เข้าสู่กระบวนการบําบัดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในหลายกระทรวง อาทิ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะต้องหารือวางแผนการทํางานร่วมกัน โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัด ส่วนกระบวนการที่หากศาลสั่งให้เข้ารับการบําบัด จะต้องมีการหารือในเรื่องของข้อกฎหมาย ปรับหรือเพิ่มในส่วนของการดําเนินการ เพื่อให้งานในกระบวนการยุติธรรมมีความครบถ้วน สำหรับผู้เสพที่ติดยาอยู่ ก่อนหน้านี้ศาลสั่งคุมประพฤติแต่ไม่มีการให้เข้าสู่กระบวนการบําบัดเนื่องจากเป็นอํานาจของศาลแขวง โดยพนักงานสอบสวนใช้กระดาษแผ่นเดียวส่งให้ศาล จึงทําให้ผู้เสพทั้ง 1 แสนคน ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านและตามชุมชนต่าง ๆ จึงจําเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ซึ่งจะใช้แพทย์และสาธารณสุขนํา โดยกําหนดระยะเวลา 3 เดือน หรือ 90 วัน

ทั้งนี้ ผู้เสพจำนวน 1 แสนคนดังกล่าว ไม่ใช่ผู้เสพสีแดงหรือสีส้มทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นผู้เสพระดับสีเขียว โดยจะมีกระบวนการคัดกรอง โดยผู้เสพสีเขียวจะบําบัดด้วยสังคม ส่วนผู้เสพสีแดงและส้มจะต้องบําบัดด้วยยา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของบุคลากรที่จะดำเนินงานในเรื่องนี้ ส่วนกรณีเรื่องผู้เสพ 1 เม็ดนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขระบุด้วยว่า ผู้เสพ 1 เม็ดหากสมัครใจเข้ารับการบําบัดก็ไม่ต้องขึ้นศาล แต่จะต้องบอกให้ได้ว่าซื้อยามาจากใคร เพื่อให้ตํารวจสอบสวนขยายผลจับกุม และดําเนินการยึดอายัดทรัพย์สินตามกฎหมายต่อไป

“รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ และตระหนักถึงปัญหายาเสพติด ไม่น้อยไปกว่าปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน โดยผู้เสพต้องเป็นผู้ป่วย และผู้เสพเมื่อรักษาหายต้องส่งกลับคืนสู่อ้อมกอดครอบครัวอย่างมีศักดิ์ศรี และสามารถไปประกอบอาชีพได้โดยที่ไม่กลับมาเสพยาเสพติดอีก ย้ำว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้ความสำคัญกับประเด็นนี้อย่างสูงสุด เพื่อให้สถาบันครอบครัวของประเทศกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว

รทสช. หนุนแนวทาง 'รัฐบาล-สมศักดิ์' ผุดนโยบาย '1 ผู้เสพขยายผล 1 ผู้ขาย ตามยึดทรัพย์ 1 ผู้ผลิต'

สำนักข่าวไทย รายงานว่านายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ตนเห็นด้วย ที่รัฐบาลโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมทบทวนกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ฯ โดยมีมติแก้กฎกระทรวง ให้ผู้ที่เสพหรือครอบครองยาบ้า 1 เม็ดก็มีความผิด พร้อมทั้งออกแนวคิดนโยบาย “1 ผู้เสพ ขยายผล 1 ผู้ขาย และขยายต่อเป็น 1 ผู้ผลิต” เพื่อนำไปสู่การยึดอายัดทรัพย์ผู้ผลิต เนื่องจากประชาชนร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก และเกิดผลกระทบต่อสังคม พบผู้ค้ายาเสพติดใช้ช่องว่างของกฎหมายในการแบ่งบรรจุจำหน่าย เพื่อหลบหลีกการถูกดำเนินคดีในฐานความผิดมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้า จึงต้องแก้ไขกฎกระทรวง ในเวลาไม่เกิน 3 เดือนหลังจากนี้

ทั้งนี้ ขอฝาก นายสมศักดิ์ กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายปกครอง ตำรวจทหารและทุกกระทรวง รวมถึงชุมชน ร่วมมือสอดส่องดูแลประชาชน ให้ภาคประชาสังคมร่วมกันเป็นหูเป็นตา เพื่อร่วมกัน ป้องกันและปราบปราม แก้ปัญหายาเสพติดให้ลดลงและหมดไป ทั้งนี้ ผู้ที่แจ้งเบาะแสเข้ามาเพื่อนำไปสู่การจับกุม เจ้าหน้าที่มีรางวัลนำจับให้ 5%

“เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ รมว.สาธารณสุข มีการปรับแนวนโยบายผู้เสพหรือครอบครองยาบ้าตั้งแต่ 1 เม็ดก็ถือว่ามีความผิดและควรจะขยายผลไปสู่ผู้ขายและผู้ผลิตเพื่อติดตามจับกุม ยึดทรัพย์เครือข่ายรายใหญ่ต่อไป เชื่อว่าหากมีการเคร่งครัดเอาจริงเอาจังร่วมมือกันทุกกระทรวงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้ลดจำนวนลง เพื่อลดปัญหาสังคม และอาชญากรรม คืนลูกหลานกลับสู่ครอบครัว” นายธนกร กล่าว

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net