เมื่อปี 2553 การชุมนุมของคนเสื้อแดงนำโดย แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กินเวลาตั้งแต่ 12 มีนาคม – 19 พฤษภาคม
รายงานของภาคประชาชน (ศปช.) ระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 94 ราย งานของภาครัฐ (คอป.) ระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 92 ราย ในจำนวนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ 10 ราย
โดยขั้นตอนปกติเมื่อมีการตายที่ผิดธรรมชาติและเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่รัฐ จะต้องมีการไต่สวนการตายตามมาตรา 150 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก่อนว่า “ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำร้ายเท่าที่จะทราบได้” จากนั้นจึงมีการดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกันในศาลต่อไป
เมื่อมีคนตายเกือบร้อยคน ผ่านมาเป็นเวลา 10 ปี กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปถึงไหน และคดีเดินทางไปอย่างไร ประชาไทรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นอีกครั้ง
1
กลุ่มคดีไต่สวนการตาย
ศาลชี้ 18 ศพกระสุนมาจากฝั่งทหาร -คดีสะดุดหลังรัฐประหาร
ช่วงปี 2555-2558 ศาลทยอยออกคำสั่งในการไต่สวนการตายของผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมรวม 33 ราย (ตารางด้านล่าง) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
ในจำนวนนี้ศาลมีคำสั่งว่า กระสุนมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่หรือทหาร 18 ราย ส่วนอีก 15 ราย ศาลระบุว่าไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ
กรณีสำคัญที่ศาลมีคำสั่งว่ากระสุนมาจากฝั่งทหาร เช่น
- เกรียงไกร คำน้อย ที่ถูกยิงช่วงบ่ายวันที่ 10 เม.ย.53
- พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงเมื่อวันที่ 28 เม.ย.53 ขณะขับมอเตอร์ไซค์ร่วมกับหน่วย มุ่งหน้าเข้าหน้าแนวเจ้าหน้าที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติดอนเมือง โดยคำสั่งศาลระบุว่าถูกกระสุนปืนความเร็วสูงซึ่งยิงจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่
- คดี 6 ศพวันปทุมฯ ศาลก็มีคำสั่งว่าทั้งหมดเสียชีวิตจากทหาร ซึ่ง 3 ใน 6 เป็นอาสาสมัครมนุษยธรรม คือ กมลเกด อัคฮาด อัครเดช ขันแก้ว อาสาพยาบาล และมงคล เข็มทอง เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
หลังจากรัฐประหารปี 2557 แล้ว ขั้นตอนการไต่สวนการตายดูเหมือนจะหยุดชะงักไป ไม่มีกรณีใหม่ แม้จะเหลือรายชื่ออีกครึ่งร้อยที่ยังไม่มีคำสั่งไต่สวนการตายก็ตาม
ส่วนคดีของ 1.ฮิโรยูกิ ช่างภาพชาวญี่ปุ่น 2.วสันต์ ภู่ทอง 3.ทศชัย เมฆงามฟ้า ซึ่งทั้งหมดถูกยิงในเหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 นั้น แม้จะมีคำสั่งศาลในปี 2558 ซึ่งเกิดขึ้นหลังรัฐประหาร แต่กระบวนการไต่สวนนั้นถือได้ว่าเกิดมาก่อนหน้ารัฐประหารและจำเป็นต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น
2
ความพยายามในการดำเนินคดี
ฟ้องศาล, ศาลโยน ป.ป.ช.
1 ใน 18 ราย ที่ศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายว่ากระสุนมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่หรือทหารคือ พัน คำกอง คนขับแท็กซี่ที่ถูกยิงเสียชีวิตคืนวันที่ 14 พ.ค.2553
กรณีนี้เป็นคดีแรกที่ศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายเมื่อเดือนกันยายน 2555 จากนั้นในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนกรณีการตายของผู้ร่วมชุมนุมทางการเมืองได้แถลงผลการประชุมของคณะพนักงานสอบสวนอันประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย คือ ดีเอสไอ ตำรวจ และอัยการ ว่า
ที่ประชุมมีมติร่วมกันให้ดำเนินการแจ้งข้อหากับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบสูงสุดของ ศอฉ.และสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผอ.ศอฉ.ว่ามีความผิด “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288
เหตุผลที่ฟ้องก็คือ เนื่องจากศาลยุติธรรมได้มีคำสั่งคดีการไต่สวนเหตุการตายของพัน คำกอง ว่า “การตายของนายพัน เกิดจากถูกกระสุนปืนของทหารที่เข้าปฏิบัติการตามคำสั่งของ ศอฉ.” และศาลยุติธรรมได้ส่งสำนวนการพิจารณาไต่สวนทั้งหมดพร้อมคำสั่งมายังตำรวจนครบาล และถึงดีเอสไอในที่สุดคณะพนักงานสอบสวนจำเป็นต้องยึดถือเอาข้อเท็จจริงอันเป็นยุติโดยการไต่สวนของศาลดังกล่าว
คดีนี้สู้กันถึง 3 ศาล จนวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องสำนวนคดีที่อัยการฟ้อง อภิสิทธิ์-สุเทพ ฐานร่วมกันก่อให้ฆ่าผู้อื่นเหตุสลายการชุมนุม นปช. โดยศาลเห็นว่า
ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัว ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งราชการ ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นผู้มีอำนาจไต่สวน และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ต้องยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีอำนาจไต่สวนชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ คดีนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลนี้
ฟ้อง ป.ป.ช., ป.ป.ช.ตีตก
ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ตอนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้องโดยระบุว่าอยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. ทำให้กลุ่มผู้เสียหายยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.58 ป.ป.ช. ได้มีมติให้คำร้องตกไป แต่ก็ระบุว่าได้มีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารรวมถึงนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ให้ดีเอสไอดำเนินการต่อ
การกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และพลเอกอนุพงษ์กับพวก กรณีละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุม ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามกับพวกได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป
ขอรื้อคดีกับป.ป.ช.อีกหน ก็ไม่เป็นผล
ต่อมา จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ และ วรัญชัย โชคชนะ มีหนังสือร้องขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทบทวนมติที่ให้ข้อกล่าวหาตกไปดังกล่าว ดังนี้
1. การตัดสินใจทางนโยบาย กรณีใช้อาวุธสงครามกระสุนจริงและยุทธวิธีการซุ่มยิงถูกต้องหรือไม่
2. ไม่ยกเลิกการปฏิบัติในทันทีเมื่อรับทราบการเสียชีวิตของประชาชน มีการอ้างว่าได้ปรับยุทธวิธีเป็นการตั้งด่านตรวจและมีจุดสกัดปิดล้อมเพื่อให้ชุมนุมเลิกไปเองแล้ว แต่ตามวารสารกองทัพบก (เสนาธิปัตย์) อธิบายว่านั่นเป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ
3. การอ้างว่ามีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนในกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นการอ้างโดยมิได้มีหลักฐานใดๆ รองรับ
4. กระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ไม่รอบคอบ ไม่ถูกต้อง ไม่น่าเชื่อถือและ 2 มาตรฐาน เช่น เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 (การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ) เกิดขึ้นและยุติลงภายในวันเดียวแต่คำฟ้องของ ป.ป.ช. แบ่งเหตุการณ์ออกเป็น 3 ช่วงเวลา กล่าวถึงผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บรายสำคัญโดยละเอียด ขณะที่เหตุการณ์ ปี 2553 (การชุมนุมของกลุ่ม นปช.) เกิดขึ้นต่อเนื่องกันกว่า 1 เดือน ต่างกรรมต่างวาระต่างสถานที่ แต่กลับพิจารณาแบบองค์รวม
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาและตอบประเด็นทั้งหมด (อ่านที่นี่) โดยมีสาระสำคัญว่า สรุปข้อเท็จจริงได้ว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการสลายการชุมนุมเพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล
ฟ้องทหาร อัยการศาลทหารมีคำสั่งไม่ฟ้อง
พะเยาว์ อัคฮาด ผู้เป็นมารดาของกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกทหารยิงเสียชีวิตที่วัดปทุมวนาราม ได้แจ้งความเพิ่มเติมเพื่อเอาผิดนายทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บนรางรถไฟฟ้าในวันนั้น (19 พ.ค.2553)ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น
วันที่ 3 พ.ค.2562 พะเยาว์เปิดเผยว่าอัยการศาลทหารมีคำสั่งไม่ฟ้องนายทหารทั้ง 8 นาย โดยอัยการให้เหตุผลที่สั่งไม่ฟ้องว่าเพราะไม่มีพยานหลักฐาน ไม่มีพยานแวดล้อม และไม่มีพยานบุคคลที่ระบุว่าทหารทั้ง 8 นายได้กระทำการยิงปืนเข้าไปในวัดเพื่อฆ่าผู้อื่น
แต่คนฟ้องกลับโดนสั่งจำคุก ข้อหากลั่นแกล้งเพื่อเอาใจรัฐบาล
ในทางกลับกัน เมื่อ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 4 ปี (คำเบิกความเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก จำเลยรายละ 2 ปี) ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ 3 ตำรวจที่ทำคดีเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553 ฐานกลั่นแกล้งเพื่อเอาใจรัฐบาล จากการฟ้องข้อหาความผิดฐานฆ่าเล็งเห็นผลจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ต่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แม้ก่อนหน้านั้น ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องธาริตและพวกก็ตาม
รายชื่อผู้เสียชีวิตที่ศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายแล้ว รวม 33 ราย (จากการรวบรวมของประชาไท)
ลำดับ | ชื่อ | การไต่สวนการตาย | วันเสียชีวิต | อ่านเพิ่มเติม
|
1 | เสียชีวิตจากทหาร | 19 พ.ค. | ||
2 | เสียชีวิตจากทหาร | 19 พ.ค. | ||
3 | เสียชีวิตจากทหาร | 19 พ.ค. | ||
4 | เสียชีวิตจากทหาร | 19 พ.ค. | ||
5 | เสียชีวิตจากทหาร | 19 พ.ค. | ||
6 | เสียชีวิตจากทหาร | 19 พ.ค. | ||
7 | เสียชีวิตในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทหารเคลื่อนกำลังพลเข้ามาควบคุมพื้นที่จากแยกศาลาแดงมุ่งหน้าถนนราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำ | 19 พ.ค. | ||
8 | วิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าพนักงานที่กำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่จากทางแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ | 19 พ.ค. | ||
9 | วิถีกระสุนมาจากฝั่งทหาร | 19 พ.ค. | ||
10 | วิถีกระสุนมาจากฝั่งทหาร | 19 พ.ค. | ||
11 | ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง | 17 พ.ค. | ||
12 | ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง | 16 พ.ค. | ||
13 | ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง | 16 พ.ค. | ||
14 | ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง | 16 พ.ค. | ||
15 | เสียชีวิตจากทหาร | 15 พ.ค. | ||
16 | ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง | 15 พ.ค. | ||
17 | ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง | 15 พ.ค. | ||
18 | เสียชีวิตจากทหาร | 14 พ.ค. | ||
19 | เสียชีวิตจากทหาร | 14 พ.ค. | ||
20 | ไม่ทราบผู้ลงมือกระทำ | 14 พ.ค. | ||
21 | ไม่ได้ตายโดยตรงจากการถูกยิง | 14 พ.ค. | ||
22 | ไม่ทราบผู้ลงมือกระทำ | 14 พ.ค. | ||
23 | ไม่ทราบผู้ลงมือกระทำ | 14 พ.ค. | ||
24 | ไม่ทราบผู้ลงมือกระทำ | 14 พ.ค. | ||
25 | ตายด้วยกระสุนจากกลุ่มทหาร | 13 พ.ค. | ||
26 | ไม่ทราบใครเป็นผู้ยิง | 10 เม.ย. | ||
27 | วิถีกระสุนปืนมาจากฝั่งทหาร | 10 เม.ย. | ||
28 | วิถีกระสุนปืนมาจากฝั่งทหาร | 10 เม.ย. | ||
29 | ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง | 10 เม.ย. | ||
30 | ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง | 10 เม.ย. | ||
31 | ถูกกระสุนปืนความเร็วสูง ซึ่งยิงจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังปฎิบัติหน้าที่ | 28 เม.ย. | ||
32 | ไม่ทราบใครเป็นผู้กระทำ | 10 เม.ย. | ||
33 | วิถีกระสุนมาจากฝั่งทหาร | 10 เม.ย. |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)