Skip to main content
sharethis

"จิราพร" แจงละเอียดบริษัทของหลานประยุทธ์เข้าข่ายฮั้วประมูลแถมอาจมีการตกแต่งบัญชีขาดทุนเพื่อเลี่ยงภาษีทั้งที่ชนะประมูลโครงการของรัฐไปหลายโครงการและยังเอี่ยว "ทุนจีนสีเทา" จี้ประยุทธ์ตรวจสอบหลานตัวเองตามนโยบายปราบทุจริตที่เคยประกาศไว้ด้วย

14 ก.พ.2566 ที่ประชุมรัฐสภา ในการอภิปรายทั่วไป จิราพร สินธุไพร ส.ส.จังหวัดร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงการทุจริตที่เกิดขึ้นโดยคนในครอบครัวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูลโครงการภายในพื้นที่ของค่ายทหารในสังกัดของกองทัพภาคที่ 3 และการเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณี "ทุนจีนสีเทา" พร้อมเรียกร้องให้ตรวจสอบหลานชายตัวเองตามนโยบายปราบปรามทุจริตที่เคยประกาศเอาไว้

จิราพร อภิปรายว่าเมื่อ 22 พ.ค.2557พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและอ้างว่าเข้ามาเพื่อปราบปรามการทุจริต และยังเคยแถลงนโยบายแก้ไขปัญหาทุจริตเป็นนโยบายเร่งด่วนต่อรัฐสภาเมื่อ 22 ก.ค.2562 อีกทั้งยังประกาศเป็นวาระแห่งชาติเมื่อป 2564 จึงขออภิปรายเพื่อทวงถามว่านายกรัฐมนตรีจะยึดถือปฏิบัติตามนโยบายการปราบปรามทุจริตอย่างเคร่งครัดอยู่หรือไม่ถ้าคนที่ไปเกี่ยวพันกับการทุจริตเป็นบุคคลในเครือญาติของตัวเองและจะยังกล้าใช้อำนาจตามกฎหมายดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับคนในครอบครัวหรือไม่

จิราพรกล่าวถึง ปฐมพล จันทร์โอชาที่มีศักดิ์เป็นหลานชายของพลเอกประยุทธ์ได้เปิดบริษัท คอนเทมโพรารีคอนสตรัคชั่นมาเพื่อรับงานด้านรับเหมาก่อสร้างมาตั้งแต่ 4 พ.ค.2555โดยใช้บ้านพักในค่ายทหารสมเด็จพระเอกาทศรถ ตำบลอรัญญิก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 เป็นสถานประกอบการของบริษัทเพื่อทำธุรกิจส่วนตัวนานกว่า 5 ปี

“ถ้าการที่หลานชายพลเอกประยุทธ์ใช้ค่ายทหารเปิดบริษัทอาจจะเป็นพฤติกรรมเลียนแบบเพราะลุงอยู่บ้านหลวงไม่ยอมย้ายออกมา พ้นจากตำแหน่งก็ยังไม่ยอมย้ายออกมา มาเป็นนักการเมืองก็ยังไม่ยอมย้ายออกมา อาจจะคิดว่าเห็นลุงทำได้ก็เลยเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ตั้งบริษัทในค่ายทหารสำนวนไทยบอกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่พฤติกรรมของหลานพลเอกประยุทธ์นี้ค่ะเรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลลุง”

ส.ส.ร้อยเอ็ดเพื่อไทยกล่าวต่อว่า หลานชายพลเอกประยุทธ์ตั้งบริษัทในค่ายทหารและหากินกับโครงการของกองทัพอย่างต่อเนื่องจนปี 2559 มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในการใช้ค่ายทหารเปิดบริษัทเพื่อทำธุรกิจส่วนตัวและได้รับงานประมูลของรัฐในวงเงินที่สูงจึงย้ายออกมาตั้งนอกค่ายทหารเพื่อให้พ้นข้อครหาของสังคมแต่ก็ยังเดินหน้าประมูลงานของรัฐอย่างต่อเนื่อง

จิราพรกล่าวต่อว่าเมื่อตรวจสอบรายละเอียดของบริษัทของปฐมพลที่มีเงินทุนจดทะเบียนเพียง 1.5 ล้านบาทและในปี 2555-2556 มีผลประกอบการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2557 กลับเริ่มได้รับโครงการรัฐที่มีมูลค่าสูงซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาทำการรัฐประหาร บริษัทดังกล่าวที่เดิมขาดทุนมาตลอดกลับชนะการประมูลโครงการของกองทัพ 3 โครงการมูลค่ารวม 28ล้านบาทและยังได้งานของรัฐที่ส่วนใหญ่อยู่ในพิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียงที่เป็นพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 3 อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา

“เท่ากับว่าวินาทีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชายึดอำนาจในปี 2557 มีลูกหลานมีคนหนุ่มคนสาวออกมาต่อต้านการทำรัฐประหารจนถูกจับกุมคุมขังถูกควบคุมตัวถูกดำเนินคดีมากมายแต่ในช่วงเวลานั้นกลับเป็นช่วงที่ลูกหลานพลเอกประยุทธ์ กำลังสบโอกาสกอบโกยตักตวงผลประโยชน์งบประมาณของแผ่นดินอยู่”

จิราพรยังชี้จุดสังเกตเพิ่มอีกว่า ด้วยเงินทุนจดทะเบียนของบริษัทที่มีเพียง 1.5 ล้านบาท ซึ่งทุนจดทะเบียนถือว่าเป็นหลักประกันสถานะทางการเงินและศักยภาพในการใช้หนี้กรณีเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา ถ้าเป็นโครงการรัฐที่ใช้งบประมาณสูงโดยปกติบริษัทที่เข้าประกวดราคาก็ควรที่จะมีทุนจดทะเบียนที่สูงตามไปด้วย และยังตั้งคำถามต่อไปว่าถ้าใช้วิธีให้แบงค์การันตีให้แต่ด้วยทุนจดทะเบียนและธุรกิจของปฐมพลที่เพิ่งเริ่มต้นมีความสามารถไปหาเงินจากที่ไหนไปทำหรือเป็นเพราะนามสกุลจันทร์โอชามากกว่าศักยภาพของบริษัท จึงไม่สมเหตุสมผลที่บริษัทดังกล่าวจะได้รับโครงการรัฐที่มีมูลค่าสูงยิ่งไปกว่านั้นยังประมูลงานรัฐได้ร่วมกันหลายสิบล้าน

ส.ส.เพื่อไทยร้อยเอ็ดชี้ว่าเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าบริษัทมีเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง เพียง 13 รายการมูลค่ารวม 385,574.71บาท เป็นเครื่องมือช่างทั่วไป 12รายการแล้วก็เป็นยานพาหนะเพียง 1 คัน ไม่มีเครื่องจักรกลหนักที่จะสามารถรับงานขนาดใหญ่ได้แต่อย่างใด ถึงจะบอกว่าเป็นการเช่าเครื่องมือมาทำชั่วครั้งชั่วคราวก็พอรับฟังได้ แต่กลับเข้าประมูลงานรัฐราคาตั้งแต่หลักแสนจนถึงระดับหลักร้อยล้าน 8 ปีต่อเนื่อง เธอชี้ว่าพฤติการณ์ของบริษัทจึงเหมือนเป็นบริษัทนายหน้าที่ประมูลชนะได้งานแล้วไปขายงานต่อมากกว่าที่จะดำเนินการเอง

“สถานการณ์แบบนี้ค่ะเป็นไปได้ว่าในรายการเครื่องไม้เครื่องมือไม่มีเครื่องจักรหนักแต่อาจมีเครื่องจัดหนักคืออำนาจลุงอำนาจพ่อที่คอยจัดหนักให้หลานหรือไม่ ถึงสามารถเข้าประมูลงานในกองทัพได้โดยที่ไม่มีศักยภาพและไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่เพียงพอ”

จิราพรยังกล่าวถึงสภาพของที่ตั้งบริษัทด้วยว่า เป็นบ้านในตำบลอรัญญิก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลกนี้สภาพภายในบ้านพบรถเก๋งสีดำ 1 คันและรถส่งของแกร็บ 1 คัน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าบริษัที่ประมูลงานของรัฐได้เป็นพันล้านจะมีอาชีพเสริมคือการขับรถแกร็บส่งของ หากลองตรวจสอบอาจพบว่ากรรมการบริษัทอาจจะเป็นคนขับรถแกร็บหรือไม่ท่าน

จิราพรยังตั้งข้อสังเกตถึงการฮั้วประมูลด้วยว่า บริษัทคู่เทียบการประมูลกับบริษัทหลานชายพลเอกประยุทธ์โดยการเปิดภาของที่ตั้งบริษัทที่เป็นอาคารเก่าบ้าง เป็นห้องแถว หรือสภาพเป็นบ้านคนบ้าง แต่มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท โดยเธอเปรียบว่าบางแห่งมีสภาพเหมือนห้องน้ำสาธารณะมากกว่าจนสรรพากรอาจถึงกับไม่กล้าเข้าตรวจสอบ และยังพบว่ามีบริษัทที่มีสภาพเป็นบ้านและมีรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างอยู่ 1 คันจอดที่มีการแจ้งทุนจดทะเบียนแค่ 2 แสนบาทแต่ได้เข้าประมูลงานรัฐหลักหลายสิบล้านบาท

“คาดว่าตอนไปยื่นซองประมูลน่าจะขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างไปยื่น สภาพบริษัทแต่ละแห่ง ทรงอย่างแบดแต่ว่าชนะ(ประมูล) อย่างบ่อย เห็นสภาพจากบริษัทที่เข้าประมูลงานแข่งขันของบริษัทหลานชายพลเอกประยุทธ์ดิฉันคิดว่า เหล่านี้ไม่ได้ใช้บริษัทคู่เทียบค่ะแต่เป็นบริษัทคู่ทิพย์ เพราะสภาพที่ตั้งบริษัทล้วนไม่ได้ใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างแน่นอนดูยังไงก็ไม่มีศักยภาพที่จะรับงานระดับหลายสิบล้านบาทได้”

จิราพรชี้ว่าบริษัทเหล่านี้มีลักษณะเหมือนเป็นบริษัทนอมินีที่ใช้เป็นคู่เทียบเพื่อยื่นเสนอราคามีพฤติกรรมส่อว่าเกาะกลุ่มกันเข้าไปประมูลงานแข่งเพื่อให้บริษัทหลานชายพลเอกประยุทธ์สามารถชนะการประมูลได้อย่างง่ายดาย ส่อพิรุธที่เข้าข่ายสมยอมราคากันหรือภาษาทั่วไปเรียกว่าฮั้วประมูล

ส.ส.ร้อยเอ็ดเพื่อไทยได้ยกตัวอย่างไว้ 10โครงการที่บริษัทของปฐมพลร่วมประมูลซึ่งเป็นโครงการของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 9 โครงการและเป็นโครงการของกรมทรัพยากรธรรมชาติ 1 โครงการ บริษัทดังกล่าวชนะประมูลได้ 6 โครงการ ส่วนอีก 4 โครงการผู้เข้าร่วมการประมูลก็เป็นหน้าเดิมในกลุ่มบริษัทที่เข้าประมูลแข่งกับบริษัทของหลานชายพลเอกประยุทธ์โดยสลับกันแพ้สลับกันชนะ

“ที่บริษัทหลายชายพลเอกประยุทธ์เข้าประมูลแต่ไม่ชนะมีข้อสังเกตว่าการกระทำเช่นนี้อาจจะเพื่อตบตาว่าไม่ให้เกิดคำถามว่าห้างหุ้งส่วนจำกัด คอนเทมโพราลี คอนสตรัคชั่นของหลานชายพลเอกประยุทธ์ชนะการประมูลอยู่รายเดียวเพราะว่าจะผิดสังเกตเกินไป แบบนี้ทำให้เชื่อได้ว่าการประมูลที่แพ้ชนะใน 10 โครงการนี้ ไม่ได้หมายความว่าบริษัทที่ชนะคือบริษัทที่ได้งานจริงๆ” จิราพรมองว่าสุดท้ายแล้วเป็นการแกล้งแพ้แต่ชนะที่ปลายทางเป็นการกินรวบ

จิราพรยังตั้งข้อสังเกตถึงการตั้งราคาประมูลของบริษัทที่เข้าร่วมประมูลกับบริษัทของหลานชายพลเอกประยุทธ์ชนะการประมูลยังพบว่าราคาที่ชนะการประมูลต่ำกว่าราคากลางเพียงเล็กน้อยโดยห้างกันน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ทุกโครงการ อีกทั้งบริษัทของหลานชายพลเอกประยุทธ์ยังชนะการประมูลในราคาที่ต่ำกว่าราคากลางไม่มากทุกโครงการเท่ากับเป็นการชนะประมูลทั้งที่เสนอราคาค่อนข้างสูง

เธอยกตัวอย่างกรณี โครงการประกวดราคาจ้างต่อเติมอาคารกองบังคับการจังหวัดทหารบกพิษณุโลก ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ราคากลางตั้งอยู่ไว้ที่ 17,926,700 บาท ปรากฏว่าบริษัทหลานชายพลเอกประยุทธ์ชนะการประมูลด้วยการเสนอราคาที่ต่ำกว่าราคากลางเพียงแค่ 46,700 บาท และผลต่างระหว่างบริษัทของหลานชายพลเอกประยุทธ์ที่ชนะการประมูลกัลบริษัทที่เสนอราคาต่ำเป็นอันดับสองรองลงมาห่างกันแค่ 6,000 บาท และอีกโครงการค่ายพ่อขุนผาเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ที่อยู่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 เช่นกันราคากลางตั้งไว้ที่ 13,710,592 บาท บริษัทหลานชายพลเอกประยุทธ์ชนะการประมูลด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคากลางเพียงแค่ 30,592 บาท เท่านั้นและผลต่างระหว่างบริษัทหลานชายพลเอกประยุทธ์กับบริษัทที่อันดับสองห่างกันแค่ 5,592 บาท ทั้งสองโครงการนี้ห่างกันไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์

“ดูจากสภาพการณ์แล้วที่หลานชายพลเอกประยุทธ์ประมูลงานมาได้น่าจะไม่ใช่เพราะทีโออาร์แต่น่าจะเป็นเพราะจันทร์โอชา บริษัทที่เข้าประมูลกับบริษัทหลานชายพลเอกประยุทธ์เสนอราคาไล่เลี่ยกันห่างกันไม่มากต่ำกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ทุกครั้งจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น” จิราพรย้ำถึงข้อสังเกตถึงการฮั้วประมูล ซ฿งหน่วยงานรัฐสามารถยกเลิกการประมูลได้ถ้าพบพฤติการณ์ที่เข้าข่ายแต่ถ้าไม่มีการยกเลิกประมูลแสดงว่าหน่วยงานรัฐก็อาจจะรู้เห็นเป็นใจเอื้อประโยชน์สมคบและสมยอมให้เกิดการฮั้วประมูล

จิราพรจึงแสดงความต้องการว่าอยากให้เปิดทีโออาร์ หลักเกณฑ์หรือคุณสมบัติของบริษัทที่จะสามารถขอรับการประมูลโครงการเหล่านี้เพื่อดูว่าเหตุใดจึงไม่มีบริษัทไหนอยากเข้าแข่งขันการประมูลเลยหรือมีอิทธิพลของใครห้ามเอาไว้หรือไม่

“คนมักจะไปจับตาแต่ 3 ป. ที่อยู่ในรัฐบาลว่าใหญ่โตกันมากแต่จริงๆ ยังมีอีกสาม ป.ที่ใหญ่โตแล้วก็ส่อว่าได้ประโยชน์มากมายไม่แพ้กันคือ ป ประยุทธ์ ป ปรีชา และป ปฐมพล สาม ป.รัฐบาลเขายังแยกกันเดินแล้วแต่ 3 ป. นี้ยังร่วมกันเดินอยู่” จิราพรอธิบายว่าเพราะประยุทธ์ รัฐประหาร ปรีชาได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นวุฒิสมาชิกและกรรมการต่างๆ ส่วนปรีชาก็ป้อนงานให้ปฐมพลด้วย

ส.ส.ร้อยเอ็ดยังชี้ว่าอาจมีการตกแต่งบัญชีเพื่อเลี่ยงภาษีด้วยเนื่องจากแม้จะรับโครงการรัฐมาหลายปีแต่บริษัทก็ยังคงมีสถานะขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีถึง 16,591,31 บาท ทั้งที่ตั้งแต่ปี 2558-2564 บริษัทได้เป็นคู่สัญญากับภาครัฐต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ปียอดรวมวงเงินงบประมาณเกือบพันล้านบาท ตอนที่บรมีความแปลกประหลาดและผิดปกติเพราะบริษัทหลานชายพลเอกประยุทธ์ตอนไม่มีงาน ก็ขาดทุนได้งานรัฐนับพันล้านก็ยังขาดทุนอยู่

จิราพรชี้ว่าตอนที่ยังตั้งอยู่ในค่ายทหารซึ่งใช้ไฟฟรีน้ำฟรีแต่ปรากฏว่ามีรายจ่ายค่าไฟฟ้าค่าประปาค่าโทรศัพท์สูงถึง 91,550.52บาท ต่อมาปี 2559 ค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์สูงถึง 278,277.85 บาท แต่เมื่อย้ายออกแล้วในปี 2562 กลับเหลือแค่ 13,201.02 บาท ปี 2563 เหลือแค่ค่าน้ำค่าไฟ 1,384.05 บาท ซึ่งแสดงถึงความผิดปกติในงบบัญชี เป็นพฤติการณ์เข้าข่ายตกแต่งบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน

จิราพรชี้ว่ามีความเป็นไปได้คือหนึ่ง ในส่วนของภาษีเงินได้นิติบุคคลน่าจะมีการนำรายได้มาลงบัญชีเพื่อคำนวณกำไรสุทธิในการเสียภาษีต่ำกว่าความเป็นจริงหรือมีการสร้างรายได้รายจ่ายเพิ่มให้สูงกว่าความเป็นจริงเพื่อให้รายจ่ายสูงกว่ารายได้ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดผลขาดทุนสุทธิ เพราะตามกฎหมายหากบริษัทขาดทุนจะไม่ต้องชำระภาษีและผลประกอบการขาดทุนนั้นสามารถนำไปหักจากกำไรในปีอื่นได้อีกไม่เกิน 5 ปี

ส.ส.เพื่อไทยจากร้อยเอ็ดตั้งคำถามว่า ด้วยพฤติกรรมแบบเข้าข่ายเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีเช่นนี้และถ้าการที่หลานชายพลเอกประยุทธ์ได้งานรัฐด้วยวิธีการที่ส่อว่าจะเป็นการฮั้วประมูลถือเป็นการทุจริตอย่างร้ายแรงพลเอกประยุทธ์ในฐานะลุงและในฐานะนายกรัฐมนตรีที่เคยประกาศว่าการปราบปรามการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติจะดำเนินการอย่างไรจะให้หน่วยงานตรวจสอบเข้าตรวจสอบหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. กรมสรรพากร และกระทรวงการคลัง ทั้งที่รัฐบาลนี้ขึ้นภาษีสารพัดแต่กับหลานของตัวเองไม่ต้องเสียภาษี

จิราพรยังกล่าวถึงการประเด็นที่ปฐมพลเข้าไปเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินร่วมกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอย่างกลุ่มทุนจีนสีเทาด้วย โดยปรากฏชื่อว่าเข้าไปทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์โดยสารร่วมกันกับตู้ห่าว ที่ขณะนี้เป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินและคดีเกี่ยวกับยาเสพติด

จิราพรอธิบายว่า นาย ห หีบ(ชื่อย่อ) เจ้าของบริษัท แม็กซิมัส ออโต้ จำกัดที่มีการเปลี่ยนชื่อมาแล้วหลายครั้งได้นำเข้ารถบัสรถทัวร์หลายร้อยคันยี่ห้อซันลองจากประเทศจีนเข้ามาในไทยโดยปฐมพลเข้าไปตกลงซื้อมาแล้วไปทำลิสซิ่งกับบริษัทชื่อย่อ A ภายใต้ชื่อของบริษัทคอนเทมโพรารีคอนสตรัคชั่นและมีการผ่อนส่ง จากนั้นหลานชายของพลเอกประยุทธ์ได้นำไปให้บริษัทเอ็มแอนด์เอ็มทรานสปอร์ตเซอร์วิสจำกัดเช่าช่วงต่อ โดยบริษัทนี้มีชื่อของสิทธิไพบูลย์ คำนิลเป็นนอมินีของตู้ห่าว

จิราพรกล่าวอีกว่ากลุ่มทุนจีน 2 รายนี้ คือ นายห หีบ และนายตู้ห่าวสามารถทำธุรกิจต่อกันได้โดยตรงเพราะรู้จักมักคุ้นกันอยู่แล้วเพราะเมื่อตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่าชาวจีน 2 รายนี้ได้สัญชาติไทยวันเดียวกันและทั้งสองมีความคุ้นเคยกันดีสามารถทำธุรกิจด้วยกันคือบริษัทเอ็มแอนด์เอ็มทรานสปอร์ตเซอร์วิสจำกัดของนายตู้ห่าวสามารถซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์จากบริษัทแม็กซิมัส ออโต้ของนายห หีบผู้นำเข้าโดยตรงโดยที่ไม่ต้องมีหลานชายพลเอกประยุทธ์ไปร่วมทำธุรกิจด้วยเพื่อให้แบ่งกำไร และเมื่อสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมพบหลักฐานถึงสาเหตุที่กลุ่มทุนจีนสองกลุ่มนี้ไม่ติดต่อทำธุรกิจต่อกันโดยตรงและจะได้ชักชวนปฐมพลให้มาร่วมลงทุนเป็นตัวกลางในการซื้อรถยนต์นำเข้าจากจีนเพื่อให้บริษัทของนายตู้ห่าวเช่าช่วงต่อ

จิราพรได้ยกถึงคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางเมื่อปี 2563 และคำพิพากษาของศาลอาญาทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลางอีก 2 คดีที่ออกมาเมื่อ 2564 ชี้ให้เห็นว่าบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ปจำกัดซึ่งชื่อเป็นชื่อเดิมของบริษัท แม็กซิมัสออโต้ จำกัดและบริษัท ซุปเปอร์ซาร่า จำกัดเป็นบริษัทในเครือของนายหอหีบเคยมีประวัติการนำเข้ารถยนต์จากจีนหลายร้อยคันโดยสำแดงถิ่นกำเนิดสินค้าเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร

เธออธิบายต่อไปว่าพฤติการณ์ของทั้งสองบริษัทนี้เคยนำรถยนต์โดยสารที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศจีนผลิตและประกอบในประเทศจีนเข้ามาในประเทศไทยทั้งคันโดยใช้เอกสารฟอร์มดีแสดงว่ารถยนต์ดังกล่ามีถิ่นกำเนิดในประเทศมาเลเซียเพื่อให้ได้รับการยกเว้นภาษีอากรและลดอัตราภาษีอากรจากความตกลงระหว่างประเทศอาเซียนทั้งที่ไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการส่งรถทั้งคันจากจากจีนไปพักไว้ที่ประเทศมาเลเซียแล้วนำเข้าไทยก่อนมาสำแดงภาษีนำเข้าเป็นเท็จโดยใช้ฟอร์มดี

อีกทั้งบริษัททุนจีนยังเคยฟ้องฟ้องกรมศุลกากรว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้บริษัทต้องมีค่าใช้จ่ายต้องเสียภาษีเพิ่มทั้งที่ควรได้รับการลดภาษีนำเข้าตามความตกลงอาเซียนแต่สุดท้ายต้องยอมจำนนด้วยหลักฐานและพยาน ศาลจึงพิพากษาให้บริษัทเบสท์รินกรุ๊ปและบริษัทซุปเปอร์ซาร่าจำกัดของนายห หีบเป็นฝ่ายผิดและต้องชดใช้ภาษีอากรคืนแก่ไทย

จิราพรชี้ว่า เมื่อบริษัทของทุนจีนเหล่านี้มาทำธุรกิจกับหลานชายของพลเอกประยุทธ์กลับไม่พบปัญหาว่ามีการนำเข้ารถยนต์ที่สำแดงภาษีเป็นเท็จอีกเลย ซึ่งเธอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะการนำเข้าถูกกฎหมายแล้วหรือเป็นเพราะว่าไม่มีใครกล้าตรวจสอบอีกแล้ว และเรื่องนี้ยังไปพัวพันกับตู้ห่าวผู้ต้องหาคดีทุนจีนสีเทาด้วยเท่ากับว่านาย ห หีบ, ตู้ห่าว และหลานชายของพลเอกประยุทธ์เป็นกลุ่มเครือข่ายที่ทำมาหากินร่วมกัน จึงต้องมีการตรวจสอบว่ารถยนต์โดยสารที่หลานชายของพลเอกประยุทธ์ซื้อมานั้นนำเข้าโดยแสดงถิ่นกำเนิดสินค้าถูกต้องหรือไม่และมีการชำระภาษีถูกต้องหรือไม่

ส.ส.ร้อยเอ็ดจากเพื่อไทยยังตั้งข้อสังเกตต่อไปว่าบริษัทหลานชายพลเอกประยุทธ์ที่แสดงงบบัญชีบริษัทขาดทุนเอาเงินจากไหนมาทำธุรกิจรถยนต์เพราะบริษัท คอนเทมโพรารีคอนสตรัคชั่นทำแต่รับเหมาก่อสร้างไม่เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์มาก่อนซึ่งโดยวิสัยถ้าไม่มั่นใจว่าจะได้เงินจริงคงไม่กล้าลงทุนในจำนวนเงินที่สูงเพื่อทำธุรกิจ ซึ่งมีคนตั้งข้อสังเกตว่าตู้ห่าวเป็นคนจ่ายเงินให้หลานของพลเอกประยุทธ์เป็นนอมินีเพื่อนำไปจ่ายดอกเบี้ยเงินผ่อนค่ารถทัวร์ที่ใช้วิ่งในกิจการรถทัวร์จีนหรือไม่

จิราพรชี้ว่าหลานชายของพลเอกประยุทธ์ที่มีธุรกรรมกับกลุ่มทุนจีนทั้ง 2 กลุ่ม ตามพ.ร.บ.ปราบปรามการฟอกเงินแล้วหลานชายพลเอกประยุทธ์ย่อมเข้าข่ายโอนรับผลประโยชน์ในรูปแบบตัวเงินจากตู้ห่าวที่กระทำความผิดฐานฟอกเงินหรือได้ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมาครอบครองหรือใช้

จิราพรจึงย้ำคำถามที่เริ่มไว้ตั้งแต่ต้นการอภิปรายว่าพลเอกประยุทธ์ที่สวมหมวกนายกรัฐมนตรีและยังเป็นลุงของปฐมพลด้วยจะดำเนินการสอบสวนและปราบปรามอย่างเคร่งครัดเหมือนที่ประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วนข้อ 8 และยังเป็นวาระแห่งชาติด้วยหรือไม่ เธอยังเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าตรวจสอบด้วยว่าภายหลังจากคอนเทมโพรารี่คอนสตรัคชั่นของหลานพลเอกประยุทธ์เมื่อได้รับเงินจากนายตู้ห่าวแล้วหลานของพลเอกประยุทธ์นำเงินจำนวนมากไปทำธุรกรรมได้อย่างไรและได้ให้กับผู้ใดที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วยหรือไม่เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินในคดีฟอกเงินตามกฎหมาย เพราะเธอเห็นว่าที่ผ่านมา สตช.ยังทำเรื่องนี้แบบลับๆ ล่อๆ โดยการเชิญปฐมพลและนาย ห หีบ ไปสอบสวนแบบเงียบๆ ด้วยพร้อมตั้งคำถามว่าได้สอบสวนหลานของพลเอกประยุทธ์ถึงเรื่องการฟอกเงินด้วยหรือไม่

“การที่จะทำเรื่องใหญ่ระดับชาติโดยเฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาการทุจริตต้องเริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุดคือครอบครัว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาบอกว่ามาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ใจซื่อบริสุทธิ์ ไม่เคยโกงแม้แต่บาทเดียว ช่วยไปตรวจสอบหน่อยว่าครอบครัวของท่านที่เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดนี้มีความเกี่ยวข้องกับการทุจริตนี้หรือไม่อย่างไร” โดยจิราพรยกทั้งกรณีบริษัทของปฐมพลที่เข้าข่ายฮั้วประมูลและประเด็นที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับทุนจีนสีเทาที่เป็นคดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติมีความผิดฐานฟอกเงินและเกี่ยวข้องกับยาเสพติดว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำให้กระจ่าง

“ทุนจีนสีเทาว่าน่ากลัวแล้ว แต่ทุนไทยสีเขียวก็ไม่ธรรมดา เพราะทุนจีนสีเทาที่พาพวกเท้าของตัวเองมาอาจมีเจ้าหน้าที่รัฐช่วยเหลือเอื้อประโยชน์กันบ้างแต่ในที่สุดก็ถูกทลายลงเพราะกลไกรัฐเอื้อมถึง แต่ทุนไทยสีเขียวแผ่อิทธิพลไปถึงลูกหลานเรื่องนี้ถูกตั้งคำถามมากมายหลายหนแล้วแต่ไม่มีกลไกรัฐสามารถแตะต้อง และสามารถตรวจสอบได้อย่างเข้มข้น” จิราพรกล่าว


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net