Skip to main content
sharethis

'แอมเนสตี้' เรียกร้องทางการไทยไม่ส่งกลับนักกิจกรรมชาวมองตานญาด กลับประเทศเวียดนาม เนื่องจากเสี่ยงถูกทารุณกรรมอย่างร้ายแรง ละเมิด กม.ระหว่างประเทศ และ พ.ร.บ.ป้องกันซ้อมทรมานฯ

 

11 ก.ค. 2567 ทีมสื่อขององค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุวันนี้ (11 ก.ค.) สืบเนื่องจากจะมีการไต่สวนส่งกลับประเทศต้นทางเวียดนาม ของนักกิจกรรมชาวมองตานญาด อี ควิน เบอดั้บ ที่ห้อง 807 ศาลอาญา รัชดาภิเษก ในวันที่ 15 ก.ค. 2567 ทางแอมเนสตี้ฯ จึงขอเรียกร้องให้ทางการไทยระงับการส่งผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาด และเอดี กลับประเทศเวียดนาม เพราะเสี่ยงเผชิญอันตรายและอาจถูกทรมานอย่างร้ายแรง จากระบบเรือนจำของเวียดนาม และอาจละเมิดหลักการตามอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ไทยเป็นรัฐภาคี และกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานฯ ของไทยเอง

สำหรับก่อนหน้านี้ อี ควิน เบอดั้บ (Y Quynh Bdap) ผู้ลี้ภัยที่ได้รับรองสถานะจากองค์การสหประชาชาติ และอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2561 ถูกทางการไทยจับกุมที่กรุงเทพฯ ในข้อหา "อยู่เกินกำหนด" (Overstayed) เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2567 หนึ่งวันหลังจากนายเบดั๊บได้รับการสัมภาษณ์จากสถานทูตแคนาดาเพื่อการไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศดังกล่าว โดยทางการเวียดนาม มีคำขอให้ส่งตัวเขาเป็นผู้ร้ายข้ามแดน 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

 

ต่อมา มีรายงานข่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทย ระบุว่า คำขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนดังกล่าว เป็นผลมาจากการที่ศาลเวียดนามได้ตัดสินลงโทษจำคุก เบอดั้บ เป็นเวลา 10 ปี ในข้อหาก่อการร้าย ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567

ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ทางการเวียดนามมีประวัติที่ยาวนานในการประหัตประหารกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองชาวมองตานญาดอย่างรุนแรง และมีลักษณะที่เหยียดเชื้อชาติ หากประเทศไทยยอมดำเนินการตามคำขออันเหลวไหลนี้ ก็จะถือเป็นการละเมิดพันธกรณีของประเทศตามหลักการไม่ส่งกลับ (non-refoulement)

"ศาลเวียดนามขาดความเป็นอิสระ เบอดั้บ ได้เคยถูกดำเนินคดี และตัดสินว่ามีความผิดข้อหาก่อการร้าย โดยเป็นการพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ซึ่งเป็นการละเมิดต่อสิทธิของเขาที่จะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมอย่างชัดเจน" ชนาธิป กล่าว

อี ควิน เบอดั้บ เป็นคนชาติพันธุ์เอดี ที่หนึ่งในกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองชาวมองตานญาด ในที่ราบสูงภาคกลางของเวียดนาม ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม "มองตานญาดสู้เพื่อความยุติธรรม" (Montagnards Stand for Justice) เขามีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่รณรงค์เพื่อสิทธิของชาวมองตานญาด โดยการคอยส่งเสียงต่อต้านการประหัตประหารด้านศาสนาที่เกิดขึ้นกับชุมชนของเขา

อี ควิน เบอดั้บ เป็นหนึ่งในหกชนเผ่าพื้นเมืองชาวมองตานญาด ซึ่งทางการเวียดนามดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้าย ตามมาตรา 299 ของประมวลกฎหมายอาญาเวียดนาม จากเหตุโจมตีที่ทำการของรัฐบาลในจังหวัดดั๊กลัก (Dak Lak) ของเวียดนาม เมื่อเดือน มิ.ย. 2566

สำนักข่าวของรัฐในเวียดนาม รายงานว่า ทางการต้องการตัวเขาในฐานะผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการโจมตี ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 9 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจในคอมมูนดังกล่าว อี ควิน เบอดั้บ ซึ่งปัจจุบันถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพในประเทศไทย ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว การไต่สวนคำขอเพื่อส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ก.ค. 2567

"ทางการเวียดนามมีแบบแผนการโจมตีที่ชัดเจนต่อชนชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อยด้านศาสนา รวมทั้งชาวมองตานญาด ในลักษณะที่เข้าขั้นการประหัตประหาร"

"หากมีการส่งตัวอี ควิน เบอดั้บ กลับไปเวียดนาม มีแนวโน้มสูงอย่างยิ่งที่เขาจะถูกทรมาน และจะมีการใช้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายอย่างมิชอบเพื่อเล่นงานเขา ประเทศไทยห้ามส่งตัวเขากลับไปเวียดนาม เมื่อรู้แล้วว่าเขาจะต้องเผชิญชะตากรรมอย่างไรบ้าง" ชนาธิป กล่าว

การต่อสู้ของชาวมองตานญาด

ข้อมูลของแอมเนสตี้ฯ ระบุว่า ทางการเวียดนามได้ดำเนินการปราบปรามอย่างเป็นระบบต่อคนชาติพันธุ์ และทางศาสนา ที่ได้ออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ โดยเฉพาะสมาชิกกลุ่มศาสนาอิสระ ซึ่งไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล

แอมเนสตี้ ได้พูดคุยกับชาวมองตานญาดหลายคน ซึ่งหลบหนีมาจากภูมิภาคดั๊กลัก หรือยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น ภายหลังเหตุโจมตีซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือน มิ.ย. 2566 บางส่วนบอกว่าได้หลบหนีออกจากประเทศหลังตกเป็นเหยื่อการจับกุมโดยพลการ และการทรมานของตำรวจ โดยใช้วิธีเดินทางข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมายช่วงกลางคืน และเป็นการเดินผ่านป่า ส่วนคนอื่นๆ บอกว่ามีการสั่งล็อกดาวน์ทั้งจังหวัดเป็นเวลาหลายเดือน เพื่อปราบปรามชนเผ่าพื้นเมืองชาวมองตานญาด

ในปี 2566 ผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาดบอกกับแอมเนสตี้ฯ ว่า เขาถูกตำรวจจับและถูกลากตัวเข้าไปในห้องมืด จากนั้น มีการฉีดสารบางอย่างเข้าไปในตัวเขา และควบคุมตัวเขาไว้ในห้องเป็นเวลาสองวัน ในช่วงเวลา 2 วันนั้นตำรวจได้เข้ามาสอบปากคำเขาเกี่ยวกับเหตุโจมตีข้างต้น และใช้กระบองยางตีที่ขา ไหล่ มือ และศีรษะของเขา

"ผมสลบไป รู้สึกมึนงง และไม่กลับมามีอาการปกติอีกเลย จนกระทั่งวันที่เขาปล่อยตัวผมออกมา ผมรู้สึกสับสนกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น" ผู้ลี้ภัยชาวมองตานญาด กล่าว

ในการให้สัมภาษณ์กับแอมเนสตี้ฯ เมื่อเดือน พ.ย. 2566 อี ควิน เบอดั้บ กล่าวว่า เขาถูกจับไปโรงพักและถูกทรมานเมื่อปี 2553

'ขังเดี่ยวห้องมืด ทุบตี' หลายคนถูกซ้อมทรมานในเรือนจำเวียดนาม 

แอมเนสตี้ ระบุด้วยว่า แม้จะให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาต่อต้านการทรมานในปี 2558 แต่รัฐบาลเวียดนามแทบไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง และยังคงทรมานนักโทษต่อไป

ในรายงานปี 2559 เรื่อง "เรือนจำในเรือนจำ: การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อนักโทษด้านความคิดในเวียดนาม" แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกข้อมูลการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบในเรือนจำของเวียดนาม โดยเป็นการกระทำต่อนักกิจกรรม และนักโทษทางความคิด รวมทั้งสมาชิกชนชาติพันธุ์ และชนเผ่าพื้นเมือง

ดาร์ (นามแฝง) อดีตนักโทษชาวมองตานญาด ซึ่งถูกจับเมื่อปี 2551 เขาถูกจับขังเดี่ยวในห้องขังขนาดเล็กมากในช่วง 10 เดือนแรกที่ถูกควบคุมตัว เขาให้ข้อมูลเช่นกันว่าได้ถูกตีด้วยไม้และสายยาง ถูกต่อย เตะ และช็อตด้วยไฟฟ้า และกล่าวว่ามีการจุดไฟใส่กระดาษ เพื่อลนที่ขาของเขา เขาบอกว่าบางครั้งเขาถูกจับแขวนโดยการผูกเชือกไว้ที่แขน จากนั้นตำรวจก็ทุบตีจนเขาสิ้นสติไป

ในเดือน มี.ค. 2564 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า เหงียนวันดุกดอ (Nguyen Van Duc Do) นักกิจกรรมซึ่งปัจจุบันใช้โทษจำคุก 11 ปี ถูกจับขังเดี่ยวเป็นเวลากว่า 300 วัน ซึ่งถือเป็นการทรมานตามกฎหมายระหว่างประเทศ ในช่วงแรกของการขังเดี่ยว เขาบอกว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำเอาโซ่ล่ามขาทั้งสองข้างไว้เป็นเวลา 10 วันติดต่อกัน และเอาน้ำสกปรกและอาหารที่เจือปนด้วยอุจจาระมาให้เขากิน

ไทยต้องปฏิบัติตาม กม.ระหว่างประเทศ

แอมเนสตี้ฯ ระบุว่า ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องเคารพกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ รวมทั้งหลักการไม่ส่งกลับ และอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญานี้ ประเทศไทยต้องไม่ส่งตัวบุคคลกลับไปยังรัฐอีกแห่งหนึ่ง กรณีที่มีเหตุผลอย่างหนักแน่นว่าเขาอาจถูกการทรมาน

นอกจากนี้ หลักการนี้ได้รับการรับรองในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายของไทย ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มาตรา 13 ของ พ.ร.บ. นี้ระบุว่า "ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคล เป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย"

"กรณีของอี ควิน เบอดั้บสะท้อนอย่างชัดเจนถึงความพยายามของทางการเวียดนามที่จะยื่นมือมาจัดการและปราบปรามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน แม้กระทั่งผู้ที่อยู่นอกพรมแดนของเวียดนามเอง

"ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศและในประเทศ โดยต้องป้องกันไม่ให้มีการส่งกลับบุคคลที่ขอลี้ภัยในประเทศไทย หากพวกเขามีความเสี่ยงต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง

"ทางการไทยต้องปล่อยตัวเบอดั้บ ทันที ต้องยุติกระบวนการส่งตัวเขาเป็นผู้ร้ายข้ามแดน และรับประกันให้มีการคุ้มครองเบอดั้บ และสมาชิกชนเผ่าพื้นเมืองและชนกลุ่มน้อยด้านศาสนาอื่นๆ ซึ่งหลบหนีการประหัตประหารในเวียดนามมายังประเทศไทย" ชนาธิป กล่าวทิ้งท้าย

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net