Skip to main content
sharethis

Cofact เผยแพร่บทความตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยคุยกับกระทรวงมหาดไทย เรื่องการผ่อนผันทำบัตรชมพูใบเดียว จะส่งผลให้แรงงานผิดกฎหมายทะลักเข้าไทยเยอะขึ้น และลูกของแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทยจะมีสิทธิขอสัญชาติไทยจริงหรือ (?)

หลังสื่อ THE STATES TIMES เผยแพร่บทวิเคราะห์ข้อเรียกร้องของแรงงานข้ามชาติที่ชุมนุมหน้า UN ESCAP เมื่อ 7 ก.ค. 2567 การผ่อนผันทำบัตรชมพูใบเดียวจะทำให้แรงงานผิดกฎหมายเข้าไทยเยอะขึ้น และจะอาศัยช่องทางนี้ให้ลูกที่เกิดในไทยจะมีสิทธิขอสัญชาติไทยได้

 

15 ก.ค. 2567 เว็บไซต์ Cofact เผยแพร่วันนี้ (15 ก.ค.) สืบเนื่องจากบทวิเคราะห์บนเพจเฟซบุ๊ก "THE STATES TIMES" ว่าด้วยการชุมนุมของแรงงานชาวเมียนมา เมื่อต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มีการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนเรื่องบัตรประจำตัวแรงงานพม่า และการได้สัญชาติของลูกแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทย รวมทั้งมีการกล่าวหาว่ามีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อมาตรการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติของทางการไทย และสร้างทัศนคติเชิงลบ/หวาดระแวงแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะชาวเมียนมา

"ฟอกสัญชาติ !! แฉ !! แผนระยะยาวต่างชาติเคลมไทย ชุบตัวต่างด้าว ให้สิทธิเลือกตั้ง-ครองที่ดิน" ชื่อของบทความในเพจเฟซบุ๊ก THE STATES TIMES

เพจเฟซบุ๊ก “THE STATES TIMES” ที่มีผู้ติดตามกว่า 4.7 แสนบัญชี เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567 โดยผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า “AYA IRRAWADEE” วิเคราะห์เบื้องหลังการชุมนุมของแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) ถ.ราชดำเนินนอก เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2567 เพื่อเรียกร้องให้ทางการไทยใช้ “บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย” หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “บัตรสีชมพู” เพียงใบเดียวในการรับรองว่าแรงงานข้ามชาติคนนั้นอยู่ในไทยอย่างถูกกฎหมาย โดยไม่ต้องใช้หนังสือรับรองสถานะบุคคล (Certification of Identity - CI) หรือ “เอกสารเล่มเขียว” ที่ออกให้โดยประเทศต้นทางควบคู่กัน

บทวิเคราะห์นี้ถูกแชร์ไปเกือบ 300 ครั้ง กล่าวถึง “บัตรสีชมพู” และข้อเรียกร้องของแรงงานชาวเมียนมาใน 3 ประเด็นหลัก คือ

1.การผ่อนผันทำบัตรสีชมพู ส่งผลทำให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในไทยอย่างผิดกฎหมายมากขึ้น

2.ระบบการออกบัตรสีชมพูของกระทรวงมหาดไทย มีความหละหลวม ทำให้แรงงานข้ามชาติที่บัตรหมดอายุหรือสูญหายและไม่มีเอกสารอื่นยืนยันตัวตน ขอออกบัตรใหม่ได้ด้วยการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล และปลอมแปลงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล

3. เมื่อมีบัตรสีชมพูแล้ว จะทำให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย เมื่อมีลูกที่เกิดในไทย จะส่งลูกเรียนจนอายุ 20 ปี และสามารถขอสัญชาติไทย เพื่อให้สามารถครอบครองที่ดิน และมีสิทธิเลือกตั้ง

‘โคแฟค’ ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติโดยการออก “บัตรสีชมพู” และการได้สัญชาติของลูกแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทย โดยสัมภาษณ์แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทย ที่รับผิดชอบเรื่องนโยบายผู้อพยพและหลบหนีเข้าเมืองพบว่า ทั้ง 3 ประเด็นข้างต้นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อมาตรการขึ้นทะเบียนแรงงาน การได้สัญชาติไทยของลูกแรงงานข้ามชาติ และสร้างทัศนะคติเชิงลบ/ความหวาดระแวงแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะชาวเมียนมา

เข้าใจก่อนว่า 'บัตรชมพู' คืออะไร

บัตรสีชมพูมีชื่อทางการตามกฎหมายทะเบียนราษฎรว่า "บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย" ที่กรมการปกครองออกให้ผู้ไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ และมีถิ่นพำนักในประเทศเกิน 6 เดือน แต่คนทั่วไปมักเข้าใจว่า ‘บัตรสีชมพู’ เป็นบัตรประจำตัวแรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะ เนื่องจากสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนโยบายผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาที่ไม่มีเอกสารถูกต้อง (Undocumented migrant workers) อาศัยและทำงานอยู่ในประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย หากมาขึ้นทะเบียนทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยหรือบัตรสีชมพูกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยช่วงเวลาการเปิดให้แรงงานทั้ง 3 สัญชาติมาทำบัตรสีชมพูนั้นจะต้องเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนด เช่น ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่อนผันแรงงานฯ หลายครั้ง เพราะแรงงานไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้

แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทย อธิบายว่า โดยทั่วไปบัตรสีชมพูมีอายุ 10 ปี แต่อายุของบัตรสีชมพูไม่ใช่ระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศ ที่จะต้องยึดจากใบอนุญาตทำงาน (Work permit) เป็นหลัก แม้ว่าบัตรสีชมพู ยังไม่หมดอายุ แต่ถ้าใบอนุญาตทำงานหมดอายุแล้ว แรงงานก็ต้องกลับประเทศ ดังนั้น บัตรสีชมพูจะต้องใช้ควบคู่กับใบอนุญาตทำงานเสมอ ปัจจุบัน มีแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารถูกต้อง แต่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในประเทศไทยได้ตามมติ ครม. โดยถือบัตรสีชมพูทั้งหมดประมาณ 2.4 ล้านคน กว่าครึ่งหนึ่งเป็นชาวเมียนมา และคาดว่าเร็วๆ นี้รัฐบาลจะมีมติ ครม.ผ่อนผันแรงงานฯ ออกมาอีกครั้ง เพื่อให้แรงงานทั้ง 3 สัญชาติที่อยู่ในไทยโดยไม่มีเอกสารที่ถูกต้องมาทำบัตรประจำตัวสีชมพู

ตัวอย่างหนังสือ CI และบัตรชมพู (ภาพจาก MWG)

"เอกสารเล่มเขียว" หรือ "CI" คืออะไร?

ต่อมา หนังสือรับรองสถานะบุคคล (Certification of Identity - CI) เป็นเอกสารที่ทางการเมียนมา และลาว ออกให้พลเมืองของตนที่เดินทางมาทำงานในประเทศไทย เพื่อยืนยันสัญชาติ ซึ่งทางการไทยกำหนดให้แรงงานที่ขึ้นทะเบียนแล้วขอเอกสารนี้จากประเทศต้นทางเพื่อรับรองสัญชาติของตน

ในแถลงการณ์ของแรงงานชาวเมียนมาที่ชุมนุมหน้า UNESCAP เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2567 โดยใช้ชื่อกลุ่ม “Bright Future” เรียกร้องให้ทางการไทยอนุญาตให้แรงงานข้ามชาติใช้บัตรสีชมพูเป็นบัตรประจำตัวเพียงใบเดียวในการอยู่ในประเทศได้อย่างถูกกฎหมาย โดยไม่ต้องใช้ CI โดยให้เหตุผลว่าสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมาทำให้การขอเอกสารยากและใช้เวลานาน อีกทั้งรัฐบาลทหารเมียนมายังบังคับให้แรงงานที่ทำงานในต่างประเทศส่งเงินกลับประเทศจำนวนร้อยละ 25 ของรายได้โดยต้องโอนเงินผ่านระบบธนาคารที่รัฐบาลเมียนมารับรอง ซึ่งแรงงานเมียนมาคัดค้านข้อบังคับนี้

การชุมนุมหน้า UN ESCAP เมื่อ 7 ก.ค. 2567 (ถ่ายโดย แมวซาโบ)

เจ้าหน้าที่มหาดไทยให้ข้อมูลว่า CI เป็น “เอกสารลำดับรองจากหนังสือเดินทางหรือพาสสปอร์ต” มีความสำคัญ เพราะทำให้ประเทศต้นทางรู้ว่ามีพลเมืองของตนมาอยู่ในประเทศไทยจำนวนเท่าไหร่ และทางการไทยก็จะได้มีข้อมูลยืนยันตัวตนแรงงานที่มาทำงานในประเทศเรา ซึ่งเป็นข้อมูลที่จำเป็นทางด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง อาชญากรรมและอื่นๆ

ทางการไทยเห็นว่า การที่แรงงานมีหนังสือรับรองสถานะบุคคลจากประเทศของตน ย่อมเป็นผลดีต่อคนต่างด้าวเอง เพราะหากไม่มีเอกสารรับรองจากประเทศต้นทางเลย จะสุ่มเสี่ยงต่อการกลายเป็น ‘คนไร้รัฐไร้สัญชาติ’

“ที่ผ่านมา เราทราบดีว่าเมียนมามีปัญหาภายในประเทศ ทำให้การขอ CI ยาก ในทางปฏิบัติ เราจึงผ่อนผันให้แรงงานเมียนมาที่ไม่มี CI ใช้บัตรสีชมพูอย่างเดียวอยู่แล้ว แต่เราจำเป็นต้องคงนโยบายให้ใช้ CI ควบคู่กับบัตรชมพูไว้และต้องแจ้งทางการเมียนมาให้ช่วยมาตั้งศูนย์พิสูจน์สัญชาติแรงงาน ทั้งนี้เพื่อรักษาสิทธิของแรงงานเอง” แหล่งข่าวระบุ

แรงงานเปลี่ยนชื่อ-ปลอมแปลงอัตลักษณ์เพื่อขอบัตรสีชมพูใหม่ แทนการต่ออายุ?

บทวิเคราะห์ของ THE STATES TIMES ระบุว่า ระบบการออกบัตรสีชมพูของกระทรวงมหาดไทยมีความหละหลวม ทำให้แรงงานข้ามชาติต่ออายุบัตรสีชมพูได้ด้วยการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลและข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อขอบัตรใหม่ได้

แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่ากรณีนี้ "เป็นไปไม่ได้เลย" เพราะการทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยจะมีการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (biometrics) เช่น บันทึกลายนิ้วมือ ภาพถ่ายใบหน้า ซึ่งไม่สามารถปลอมแปลงได้

"แรงงานที่ทำบัตรสีชมพูไปแล้ว ถ้าบัตรหายหรือบัตรหมดอายุแล้วมาขอทำบัตรใหม่ด้วยการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล หรือแจ้งวันเดือนปีเกิดที่ไม่ตรงกับข้อมูลเดิม เพื่อปลอมแปลงอัตลักษณ์ สร้างตัวตนใหม่ จะทำไม่ได้เลย เพราะฐานข้อมูลทำบัตรทะเบียนราษฎรบันทึกอัตลักษณ์บุคคลไว้หมดแล้ว" อย่างไรก็ตาม เขาไม่ปฏิเสธว่าที่ผ่านมามีแรงงานข้ามชาติที่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ เพื่อทำบัตรสีชมพูใหม่อยู่บ้าง ซึ่งจะทำได้สำเร็จก็ต่อเมื่อมีเจ้าหน้าที่ร่วมทุจริตด้วยเท่านั้น คือ ลบฐานข้อมูลเดิมของแรงงานคนนั้นออกจากระบบแล้วใส่ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลใหม่มาสวมสิทธิ

ผ่อนผันทำ 'บัตรสีชมพู' ทำให้แรงงานข้ามชาติทะลักเข้าไทยอย่างผิดกฎหมาย 

การผ่อนผันให้แรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารที่ถูกต้องมาทำบัตรประจำตัวสีชมพู ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายมากขึ้น เพราะทางการไทยไม่ได้เปิดให้ทำบัตร ‘สีชมพู’ ตลอดเวลา กรมการปกครองจะเปิดให้ทำก็ต่อเมื่อมีมติ ครม.ออกมาเมื่อสถานการณ์มีความจำเป็นเท่านั้น เช่น สถานการณ์โควิด-19 สถานการณ์ความขัดแย้งและปัญหาเศรษฐกิจในประเทศเพื่อนบ้านที่ทำให้เกิดการลักลอบเข้าประเทศ หรือเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติที่เคยได้รับอนุญาตให้ทำงานกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย เพราะการขออนุญาตทำงานไม่ครบขั้นตอนหรืออยู่ในไทยเกินกำหนด เพราะไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้

ศูนย์บริหารจัดการการทำงานแรงงานเมียนมาแบบเบ็ดเสร็จ จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ที่มา: เว็บไซต์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี)

บัตรสีชมพูเปิดช่องให้แรงงานเข้ามา และเมื่อลูกของแรงงานข้ามชาติที่เกิดในเมืองไทย จะมีสิทธิขอสัญชาติไทย?

ปัจจุบัน ประเทศไทยไม่ได้ใช้ "หลักดินแดน" ในการให้สัญชาติ ดังนั้น ไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่เกิดในประเทศไทยจะได้สัญชาติไทยโดยทันที แต่การได้สัญชาติต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.สัญชาติ ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย ดังนั้น ลูกของแรงงามข้ามชาติที่ถือบัตรประจำตัวสีชมพูที่เกิดในไทย จึงไม่ได้สัญชาติไทย หรือพัฒนาสิทธิเป็นคนไทยได้โดยอัตโนมัติ "ลูกแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทย เมื่อถึงวัยเรียนเราก็ให้เข้าเรียน แต่จะเด็กอยู่ในไทยได้นานเท่าที่พ่อแม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานที่นี่เท่านั้น เมื่อสิทธิของพ่อแม่หมด ลูกก็ต้องกลับด้วย หรือถ้าเขาต้องการได้สัญชาติไทยก็ต้องดำเนินการขอแปลงสัญชาติตามกฎหมายสัญชาติ ซึ่งมีเงื่อนไขมากมายและเป็นเงื่อนไขเดียวกันกับคนต่างด้าวทุกกรณีที่ขอสัญชาติไทย"

แหล่งข่าวให้ข้อมูลและตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการได้สัญชาติไทยของลูกแรงงามข้ามชาติที่เกิดในไทย น่าจะมาจากความสับสนเรื่องการให้สัญชาติไทยแก่กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ซึ่งเป็นกลุ่มคนไร้สัญชาติที่ตกหล่นจากการสำรวจมานาน แต่หลายภาคส่วนเข้าใจผิดว่า คนกลุ่มนี้กับลูกของแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทยเป็นกลุ่มเดียวกัน และสามารถพัฒนาสิทธิของสถานะบุคคลได้เหมือนกัน ซึ่งไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ไม่มีหลักฐานพรรคการเมืองหนุนหลัง

เว็บไซต์ Cofact ระบุว่า บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ของ THE STATES TIMES ทิ้งท้ายว่า มีพรรคการเมืองที่อยู่เบื้องหลังการเรียกร้องให้ใช้บัตรสีชมพูใบเดียวของแรงงานเมียนมา โดยมีแผนระยะยาวที่จะได้คะแนนเสียงจากลูกของแรงงานที่ได้สัญชาติไทย และมีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานประกอบ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การออกบทวิเคราะห์เช่นนี้มีเพราะต้องการทำลายความชอบธรรมของแรงงานชาวเมียนมาที่ออกมาเรียกร้องหรือไม่ 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net