Skip to main content
sharethis

นักเศรษฐศาสตร์แนะเดินหน้ายุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืน บรรเทาปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อุทกภัยภัยพิบัติธรรมชาติซ้ำซากซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำเกิดยากจนฉับพลัน  

เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2567 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แสดงความคิดเห็นต่อสื่อมวลชนว่า การเดินหน้ายุทธศาสตร์การพัฒนายั่งยืนอย่างจริงจังมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยิ่ง แนวทางยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนปัจจุบันและอนุชนในอนาคตดีขึ้นไปพร้อมกัน ไม่ใช่มุ่งประโยชน์เศรษฐกิจปัจจุบันและผลักภาระทางด้านสิ่งแวดล้อมและความเสื่อมโทรมทางทรัพยากรธรรมชาติไปในอนาคต การพัฒนาต้องไม่ลดคุณค่าของความเป็นมนุษย์และไม่ทำลายสภาพแวดล้อมให้เสื่อมโทรมลงจนทำให้มนุษย์อยู่อาศัยได้ยากขึ้นลำบากขึ้น เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจสังคมอย่างมากมาย งานสำคัญเร่งด่วน คือ จะต้องเอาแนวคิดแบบยั่งยืน และ จริยธรรม กลับเข้าอยู่ในกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะให้มากขึ้น เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่อาจบรรลุได้ด้วยบทบาทของภาครัฐอย่างเดียวแต่ต้องอาศัยสังคมและประชาชนต้องช่วยกัน ประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงลำพังก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับโลก การพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตระยะยาวโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มากกว่ากำไรระยะสั้นของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมถูกกำหนดไว้ในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติและการปฏิบัติตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และรัฐบาลไทยได้รับเป้าหมายนี้มา ฉะนั้นต้องช่วยกันให้บรรลุเป้าหมาย
  
ความเสี่ยงเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติอันเป็นผลสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change อันเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ รายงาน IPCC Climate ของสหประชาชาติ พบว่า การปล่อยก๊าซยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้อุณหภูมิของโลกตอนนี้ร้อนกว่าช่วงปลายยุค 1800 ถึง 1.1 องศาเซลเซียส ทศวรรษที่ผ่านมา (ค.ศ. 2011-2020) เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ หลายคนอาจคิดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหมายถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น แต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของผลกระทบต่อเนื่องตามมามากมาย เนื่องจากทุกสรรพสิ่งบนโลกนั้นเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ การเปลี่ยนแปลงในด้านใดด้านหนึ่งจึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่น ๆ ทั้งหมดด้วย ผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เห็นได้ตอนนี้ ได้แก่ ภัยแล้งรุนแรง การขาดแคลนน้ำ ไฟไหม้รุนแรง ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น น้ำท่วม น้ำแข็งขั้วโลกละลาย วาตภัยขนาดใหญ่ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น เกิดความยากจนฉับพลันจากภัยพิบัติ และอื่น ๆ

การเอาจริงเอาจังกับยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนจะช่วยบรรเทาปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรุนแรงได้ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายทรัพยากรป่าไม้โดยเฉพาะป่าต้นน้ำจะช่วยไม่เกิดภาวะดินถล่ม น้ำป่าไหลหลากรุนแรงได้ระดับหนึ่ง ภาคเศรษฐกิจการผลิตต้องยึดถือการผลิตแบบยั่งยืน มีความรับผิดชอบในการบำบัดมลพิษก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม ลงทุนเพื่อกระบวนการการผลิตที่สามารถนำปัจจัยผลิตมาใช้แบบหมุนเวียน ลดการปล่อยของเสีย ลดการปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ ภาคการเงินก็ต้องยึดหลักการเงินเพื่อความยั่งยืน สนับสนุนทางการเงินให้กับโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมให้มีการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน ESG ส่งเสริมให้มีการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG  นอกจากนี้ต้องส่งเสริมให้กิจการและสถานประกอบการต่าง ๆ เน้นการบริหารองค์กรตามแนวคิดแบบยั่งยืน ESG (Environmental, Social and Governance)

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า อุทกภัยและภัยพิบัติธรรมชาติซ้ำซากซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำและเกิดความยากจนแบบฉับพลันในไทยเพิ่มขึ้น จากรายงานวิจัยของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP (United Nations Development Program)  ประเมินว่า ในระดับโลกการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อทุกคน แต่ประเทศยากจนและกลุ่มเปราะบางจะเป็นกลุ่มที่เผชิญกับผลกระทบรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น ด้วยปัจจัยทางทรัพยากรธรรมชาติ สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ด้านความยากจน ในปี 2573 ประชากรมากกว่า 100 ล้านคนอาจเผชิญความยากจนขั้นรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ และประชากร 200 ล้านคนอาจพลัดถิ่นจากภัยธรรมชาติ ประสบภาวะยากจนฉับพลันจากสภาพอากาศรุนแรงที่เพิ่มขึ้น ด้านความมั่นคงทางอาหารโลกสั่นคลอน ประชากรเกือบ 800 ล้านคนเผชิญความหิวโหยอย่างต่อเนื่อง และหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาจะมีประชากรอีก 189 ล้านคนที่ถูกผลักให้เผชิญความหิวโหย การพลัดถิ่น ในปี 2565 ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย 84% ลี้ภัยจากประเทศที่เปราะบางต่อสภาพอากาศ และด้านที่อยู่อาศัย เมืองชายฝั่งจำนวนมากที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคนกำลังเผชิญความเสี่ยงเพราะพื้นที่เมืองมากกว่า 90% จะกลายเป็นพื้นที่ชายฝั่ง

สำหรับประเทศไทยนั้น โดยภาพรวม เราปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 1% ของโลก แต่เป็น 1 ใน 10 ประเทศที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะถ้าปล่อยให้ “กรุงเทพฯและปริมณฑล” จมทะเลจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ประเทศไทยจะเจอสภาวะอุทกภัยและภัยแล้งรุนแรงถี่ขึ้น เผชิญสภาพอากาศสุดขั้วเพิ่มขึ้นอันเป็นภาวะที่คนจำนวนน้อยไม่อยู่ในฐานะทางเศรษฐกิจในการรับมือได้  จากการประชุม COP26 ประเทศไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเป็น 40% ภายในปี 2573 ในปัจจุบันประเทศไทยมีแผนงานระดับชาติในการแก้ไขปัญหาก๊าซเรือนกระจกและความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก แต่การลดก๊าซเรือนกระจกและลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมย่อมเกิดต้นทุนเพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐต้องสร้างระบบและกลไกส่งเสริมให้มีการลงทุน

เนื่องจาก ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำแต่ได้ผลกระทบรุนแรง ประเทศไทยจึงมีสิทธิอันชอบธรรมในการเรียกร้องให้ประชาคมโดยเฉพาะประเทศร่ำรวยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนสูงในการช่วยเหลือต่อไทยอย่างน้อย 3 ด้านตามข้อเสนอในงานวิจัยของ UNDP คือ 1. ทางด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย ผ่านการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปยังเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียน การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า  2. ทางด้านการสนับสนุนงบประมาณต่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 3. การลงทุนเพื่อยกระดับขีดความสามารถ สร้างศักยภาพให้ภาครัฐและเอกชนมีแผนงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีกลไกทางการเงิน การสร้างแรงจูงใจ และแนวทางดำเนินการในการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนให้หันมาลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม  
                    
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ธนาคารกลางหลายประเทศทยอยปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อเม็ดเงินไหลเข้าตลาดการเงินเอเชียรวมทั้งตลาดหุ้นไทย อัตราเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกาน่าจะปรับลดลงมาใกล้เคียงเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯที่ระดับ 2% ซึ่งจะทำให้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการอ่อนตัวลงของดอลลาร์และราคาทองคำที่ยังเป็นขาขึ้นต่อไป ขณะเดียวกัน ตลาดการเงินโลกและนักลงทุนต่างรอดูผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาออกมาอย่างไรในช่วงต้นเดือน พ.ย. ขณะนี้ ตลาดการเงินโลกคาดหวังว่า รัฐบาลจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมออกมาอีก จะสร้างความเชื่อมั่นในการดึงประเทศจีนออกจากภาวะเงินฝืดได้หรือไม่ ผลกระทบฟองสบู่แตกของเศรษฐกิจจีนจะสามารถแก้ไขได้อย่างไรและใช้เวลายาวนานแค่ไหนก็เป็นสิ่งที่สร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลกต่อไป ขณะที่นักลงทุนและประชาชนจะปรับพฤติกรรมทางเศรษฐกิจตามปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่มากระทบรวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมและนโยบายของรัฐในช่วงปลายปีนี้  ผู้บริโภคก็จะไม่เลือกระดับการบริโภคโดยคำนึงแต่เฉพาะรายได้ในปัจจุบันเท่านั้น ฉะนั้น เงินแจกกลุ่มเปราะบาง 10,000 บาทจะได้ผลกระตุ้นเศรษฐกิจมากก็ต่อเมื่อกลุ่มเปราะบางมีความมั่นใจต่อรายได้ในอนาคต มั่นใจต่อการประกอบอาชีพ และ ผลกระทบอุทกภัยเริ่มบรรเทา ผู้บริโภคจะใช้จ่ายเพิ่มจะอยู่ที่การคาดการณ์รายได้ในอนาคตด้วย เมื่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายน ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2567 และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือนนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2566 ส่วนดัชนีคาดการณ์รายได้ในอนาคตและโอกาสในการมีงานทำก็ลดต่ำลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 เช่นเดียวกัน  ดัชนีทางเศรษฐกิจที่จัดทำและเผยแพร่โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยล้วนบ่งชี้ว่า ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการแจกเงินหมื่นให้กลุ่มเปราะบางยังไม่แสดงผล แต่คาดว่าอาจจะส่งผลในระยะต่อไป ประกอบกับเมื่อมีการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังอุทกภัยอย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคกระเตื้องขึ้นได้ในช่วงปลายปีได้                  
 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net